ส่วนของอินดิเคเตอร์
ในส่วนของอินดิเคเตอร์จะมีสัญญาณทั้งหมดให้ท่านได้เลือกใช้งานถึง 33 สัญญาณ ท่านสามารถเลือกใช้งานตาม Trade Setup ของท่านได้ต้องการ
Super Trends
สัญญาณ Super Trends เป็นอินดิเคเตอร์พิเศษที่ไม่มีใน MT4 เป็นเครื่องมือที่เทรดเดอร์นิยมใช้งานกันมากพอสมควร ใช้ในการยืนยันเทรนด์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี วิธีใช้งานง่ายมากๆ
เส้นสีฟ้าหมายถึงเทรนด์ขณะนั้นเป็นขาขึ้น เมื่อแท่งเทียนขึ้นไปยืนเหนือเส้นสีฟ้าได้ เป็นโอกาสของการหาจังหวะเปิด Buy เมื่อแท่งเทียนอยู่เหนือเส้นสีฟ้าและอยู่ติดเส้นสีฟ้า หากแท่งเทียนอยู่ห่างออกไปก็ให้รอก่อน รอจนกว่าแท่งเทียนลงมาใกล้ หรือ แตะเส้นสีฟ้าก็รอหาโอกาส Buy ตามความเหมาะสม
เส้นสีชมพูหมายถึงเทรนด์ขณะนั้นเป็นขาลง เมื่อแท่งเทียนลงไปอยู่ในตำแหน่งใต้เส้นสีชมพูได้ เป็นโอกาสของการหาจังหวะเปิด Sell เมื่อแท่งเทียนอยู่อยู่ใต้เส้นสีชมพูและอยู่ติดเส้นสีชมพู หากแท่งเทียนอยู่ห่างออกไปก็ให้รอก่อน รอจนกว่าแท่งเทียนขึ้นไปใกล้ หรือ แตะเส้นสีชมพูก็รอหาโอกาส Sell ตามความเหมาะสม
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Demand Supply
Demand และ Supply คือโซนราคาที่มักเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดการกลับตัวของราคาเป็นส่วนใหญ่ โดยหากมองคร่าวๆ Demand และ Supply ก็มีหลักการเดียวกันกับแนวรับ-แนวต้าน เพียงแต่มีรายละเอียดวิธีการมองนัยยะของราคาที่แตกต่างกันในบางส่วน
แนวรับ-แนวต้าน จะใช้วิธีมองนัยยะของระดับราคาในมุมมองที่กว้าง เช่นมองว่าระดับราคานี้มีนัยยะสำคัญมานานแค่ไหน โดยมองย้อนหลังออกไปเป็นปี หรือหลายปี ยิ่งราคามีการทดสอบบ่อยๆที่ระดับนี้ ก็จะถือว่า แนวรับ-แนวต้าน นี้มีความแข็งแกร่ง
Demand และ Supply จะใช้วิธีมองที่ราคาเป็นหลัก การเข้ามาซื้อขอเรียกว่าการเก็บของหรือการถือหุ้น หรือ ถือออเดอร์
Demand ก็คือความต้องการซื้อ เมื่อราคาในตลาดลดลงมาต่ำมากๆ ราคาที่ต่ำมากๆก็จะเกิดความต้องการซื้อสูง ในทางกลับกันก็จะมีความต้องการขายน้อยเพราะของราคาถูกขายไปก็กำไรน้อย หรือไม่มีกำไร ก็จะมีเพียงกำลังซื้อเข้ามามากในโซนราคานี้ เราเรียกว่า Demand zone จะเรียกได้ว่าเป็นโซนที่มีคนในตลาดจำนวนมากเข้ามาซื้อเพื่อขายเก็งกำไรในอนาคต ซึ่งสถานการณ์ช่วงนี้ก็คือเกิดเทรนด์ขาขึ้นนั้นเอง
Supply ก็คือความต้องการขาย เมื่อมีแรงซื้อเข้ามามากๆราคาก็ย่อมขยับขึ้นไปเรื่อยๆเพราะของมีน้อยลงกว่าเดิม คนจำนวนมากมักจะเข้ามาไม่ทันในช่วงราคาถูกสุดๆ แต่ก็คาดว่าราคาที่เห็นมันก็พอจะซื้อไว้ได้ จึงมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะๆ ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อราคาขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นช่วงๆเช่นกัน ตามที่เห็นเมื่อราคาขึ้นไปตามเทรนด์ขาขึ้นก็จะมีแรงสวนทางลงมาเป็นระยะๆ แล้วก็ขึ้นต่อ จนในสี่สุดที่ราคาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ กำลังความต้องการซื้อก็จะลดน้อยลงไปมาก คราวนี้ก็จะเกิดความต้องการขายเกิดขึ้นมาในสัดส่วนที่มากกว่าความต้องการซื้อ ก็จะเกิดการขายออกมาทำกำไรโดยราคาจะทิ้งตัวในช่วงนี้ค่อนข้างแรง
หลักการของ Demand และ Supply ยังมีรายละเอียดเชิงลึกอีกมากต้องศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อต่างๆ เพื่อนำเอาหลักการมาใช้ในการเทรด ท่านสามารถศึกษารูปแบบการใช้งานในหมวดวีดิโอ (EP3) ได้
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Pivot Line
เส้น Pivot เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมในวงการเทรดเป็นอย่างมาก โดยหลักการมันก็คือเส้นระดับ แนวรับ-แนวต้าน แบบหนึ่งวิธีมองและใช้งานก็ใช้หลักการเดียวกันกับเส้นแนวรับ-แนวต้านทุกอย่าง
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเส้น Pivot กับเส้น แนวรับ-แนวต้าน ก็คือกลไกการคำนวณเพื่อสร้างระดับของเส้นที่ใช้หลักการแตกต่างกันกับการคำนวณเส้นแนวรับ-แนวต้านปกติ
แนวรับ-แนวต้านปกติทั่วไปจะมองหานัยยะทางราคาจากอดีตไกลๆ อาจมองย้อนหลังไปเป็นปี หรือ หลายปี เพื่อสร้างเส้นแนวรับ-แนวต้านขึ้นมา
เส้น Pivot จะมองนัยยะทางราคาในระยะใกล้คือมองข้อมูลซื้อขายของราคาเมื่อวาน กับ ราคาวันนี้ เพื่อนำมาคำนวณสร้างเส้น Pivot ดังนั้นเส้น Pivot จึงสะท้อนถึงพฤติกรรมของราคาในระยะสั้น ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งเหมาะสำหรับการเทรดสั้น หรือ เทรดแบบปิดทำกำไรรายวัน
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Support Resistance
เครื่องมือ Support Resistance ตัวนี้เป็นเครื่องมือพิเศษที่ไม่มีใน MT4 และ มีความพิเศษหลายๆอย่าง ความจริงชื่อของเครื่องมือสื่อถึง แนวรับ-แนวต้าน แต่ในกลไกการทำงานของเครื่องมือนี้ได้รวมเอาเครื่องมือ 4 ตัวมารวมกันในเครื่องมือนี้
1. ระบบ Pivot
2. ระบบแนวรับ-แนวต้านปกติ
3. เครื่องมือหา Overbought และ Oversold
4. เครื่องมือหา Momentum ของราคาเพื่อหาโซนกลับตัวของราคา
สำหรับการใช้งานก็เหมือนการใช้งานเส้น Pivot เส้น แนวรับ-แนวต้าน และ การหาโซนอิ่มตัวของราคา ตามวิธีการปกติ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Trend Channel
เครื่องมือนี้เป็นเทคนิคพื้นฐานที่เทรดเดอร์นิยมใช้งานคือการตีเส้นเทรนด์ไลน์ แต่เป็นการตีเส้นเทรนด์ไลน์แบบกรอบราคาบน-ล่าง เพื่อหาจุดที่มีนัยยะทั้งราคาสูงสุด และ ราคาต่ำสุด พฤติกรรมของราคาในตลาดมักจะขึ้นไปที่เส้นสีแดงก็คือราคาสูงสุดที่มีนัยยะ และมักจะกลับตัวลงมา และ ลงมาที่เส้นสีน้ำเงินหรือเส้นระดับราคาต่ำสุดที่มีนัยยะ ราคาก็จะดีดตัวขึ้น
เส้นเทรนด์ไลน์ก็คือเส้นแนวรับ-แนวต้านประเภทหนึ่งเพียงแต่ไม่ได้มองเป็นระดับแนวนอน แต่มองเป็นแบบระดับแนวเฉียง
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Auto Trendline
เครื่องมือนี้ก็คือวิธีการพื้นฐานของการเทรดคือการตีเส้นเทรนด์ไลน์ โดยตีอ้างอิงจากจุดซ้ายมือ ไป ยังจุดขวามือ และ ลากต่อออกไปทางขาวมือเพื่อใช้เป็นระดับคาดการณ์ของอนาคต
เครื่องมือ Autp Trendline นี้ระบบจะสร้างเส้นให้โดยอัตโนมัติ การใช้งานก็ใช้หลักการแบบแนวรับ-แนวต้านปกติทุกอย่าง
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Breakout Level
เครื่องมือ Breakout Level นี้จะเป็นเครื่องมือพิเศษที่ออกแบบให้หาโซนที่จะเกิดการทะลุของราคา (Breakout price) โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สีน้ำเงิน และ สีม่วง เป็นกรอบราคาในการสังเกตุการเกิด Breakout ในภาพเป็นตัวอย่างการเกิด Breakout ในฝั่งขาลง โดยราคาได้พักตัวในกรอบราคาก่อนที่จะทะลุเส้นสีม่วงลงมา
เส้นแนวนอนสีน้ำเงิน และ สีม่วง คือกรอบราคาที่ใช้ในการสังเกตุการเกิด Breakout ได้เช่นกัน
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Scalper Range
Scalper Range คือเครื่องมือพิเศษที่นำเอาสัญญาณ Parabolic SAR มาทำงานร่วมกับระดับ แนวรับ-แนวต้าน
การใช้งานนั้นง่ายมาก แต่ควรเน้นเทรดตามเทรนด์เป็นหลัก ไม่ควรใช้เทรดสวนเทรนด์
เมื่อเกิดการสลับสีของจุดจากสีม่วงไปเป็น จุดสีน้ำเงินจุดแรก ให้รอหาจังหวะในการ Buy
เมื่อเกิดการสลับสีจากจุดที่น้ำเงินไปเป็น จุดสีน้ำม่วงจุดแรก ให้รอหาจังหวะในการ Sell
นอกจากการสังเกตุการเกิดสีแล้ว ยังสามารถใช้จุดสีในระดับต่างๆหาจุดตั้งค่า Stop loss แบบ Trailing Stop ได้อีกด้วย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Scalper MA
หัวใจหลักของเครื่องมือนี้อยู่ที่เส้นสีม่วง ซึ่งก็คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพิเศษที่ไม่เหมือนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั่วไป สามารถใช้หาจุด breakout ของราคาได้ อีกทั้งเครื่อวงมือนี้ยังมีระบบสร้างเส้น Fibonacci ที่โค้งงอแบบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั่วไปได้ เพื่อใช้ยืนยันระดับที่มีนัยยะทางราคาได้อีกด้วย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Fibonacci
เครื่องมือนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากเพราะมันคือเครื่องมือพื้นฐานที่มีใน MT4 อยู่แล้ว แต่ความพิเศษของเครื่องมือที่ระบบเทรดนี้มีให้คือ
ระบบเทรดจะสร้างเส้น Fibonacci ให้โดยอัตโนมัติ
สามารถคลิ๊กที่ปุ่มเพื่อกลับทางจาก 0 ไป 100 และ 100 ไป 0 ได้ทันที เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
ATR Channel
ATR หรือ Average True Range คือเครื่องมือหาค่าความผันผวนของราคา (Volatility) ย้อนหลังในรอบเวลาที่กำหนด โดยเอาค่าราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และ ราคาปิด ของทั้งวันนี้และวันที่ผ่านมา นำมาคำนวณหาค่าการกระชากหรือ การแกว่งตัวของราคา เพื่อให้ใช้คาดการณ์ว่าราคาของวันนี้มีโอกาสกระชากไปได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อใช้ในการตั้งค่า Stop loss โดยเฉพาะ หรือ เทรดเดอร์บางคนใช้ ATR หาการกลับตัวของราคา แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้หาจุดวาง Stop loss ที่ปลอดภัยมากกว่า
สำหรับระบบเทรดนี้ได้นำเอาระบบ ATR มาใช้ใน 2 รูปแบบคือ
ใช้สร้างเส้นแนวนอนสั้นๆ(เส้นสีน้ำเงิน) เพื่อใช้ในการกำหนดค่า Stop Loss และ Take Profit
ใช้สร้างเส้นกรอบราคาสูงสุด และ ต่ำสุด เพื่อใช้หาการกลับตัวของราคา
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Moving Average
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เครื่องมือสุดคลาสสิกของวงการเทรดที่มืออาชีพทุกคน แม้กระทั้งมืออาชีพระดับโลก สถาบันการเงิน สำนักวิเคราะห์หุ้นต่างๆ เกือบจะทั้งร้อยจะใช้เส้นค่าเฉลี่ยปนะกอบการวิเคราะห์ หรือ ประกอบการเทรด
หลักการใช้งานคงขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเพราะมันหาข้อมูลง่ายมากๆในโลกอินเตอร์เน็ต
สำหรับระบบเทรดนี้ได้ออกแบบให้สามารถสร้างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ได้ทั้งหมด 4 เส้น ซึ่งรองรับการเทรดได้หลากหลายรูปแบบ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Multi Trendline
เครื่องมือนี้จะสร้างเส้นเทรนด์ไลน์ให้โดยอัตโนมัติ โดยการอ้างอิงจากหลายๆระดับ ทั้งใกล้ และ ไกล เพื่อให้มองได้ทั้งแบบภาพรวมในโครงสร้างราคาขนาดใหญ่ และ โครงสร้างราคาระยะใกล้ การใช้งานก็คือการใช้งานเส้นเทรนด์ไลน์ปกตินั้นเอง เพียงแต่ระบบเทรดได้สร้างเส้นเทรนด์ไล์ให้หลายหลายมุมมองแค่นั้น
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Zigzag
Zigzag เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือยอดนิยมที่ติดมากับโปรแกรม MT4 แต่สำหรับเครื่องมือ Zigzag ของระบบเทรดนี้ได้ออกแบบให้แสดงจุดราคาต่ำสุด และ สูงสุด ของแต่ละลูกคลื่นได้ชัดเจน สิ่งที่แตกต่างจากเครื่องมือ Zigzag ของ MT4 คือ การสร้างจุดราคาล่าสุดจะไม่เลื่อนเปลี่ยนจุดเหมือน Zigzag ของ MT4 ระบบ Zigzag ของระบบเทรด Super High Profit Tools จะนิ่งและจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดจุด Swing Low หรือ Swing High ใหม่เท่านั้น
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Elliott Wave
Elliott Wave เป็นเทคนิคการหาสถานะของราคาในตลาด เพราะพฤติกรรมของตลาดมักจะมีวงรอบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยเฉพาะวงรอบใหญ่จะเห็นได้ชัดเจน ในการเทรดเทคนิคการใช้ Elliott Wave นั้นจะใช้เพียงการคาดการณ์สถานะของราคาว่าควรเข้าเทรด หรือ ควร รอก่อน รายละเอียดของทฤษฎี Elliott Wave นั้นมีรายละเอียดยิบย่อยมากๆ แนะนำว่า ควรค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆ คงต้องใช้เวลาฝึกฝนทำความคุ้นเคย กว่าจะชำนาญในการใช้งาน Elliott Wave ที่ถูกต้องและแม่นยำคงต้องใช้เวลาหลายปี สำหรับมือใหม่ แนะนำให้ใช้เทคนิคอื่นๆในการเทรดก่อน เมื่อทำกำไรได้ต่อเนื่องในระดับหนึ่ง จึงค่อยๆศึกษาเรื่องของ Elliott Wave มาต่อยอดเพื่อเพิ่มความแม่นยำของการเทรดทีหลัง เพราะการกระโดดเข้ามาจับเรื่อง Elliott Wave เลยโดยไม่มีประสบการณ์การเทรดด้วยเทคนิคอื่นๆมาก่อน โอกาสจะไปรอดในการได้ด้วย Elliott Wave แทบเป็นไปไม่ได้เลย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Big Candle
เครื่องมือนี้จะจำลองภาพของแท่งเทียนย้อนหลังให้เห็นตามที่กำหนดค่าให้แสดงแท่งเทียนย้อนหลังที่เท่าไหร่ เช่น กี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน สามารถกำหนดได้ทั้งหมด เพื่อให้เราได้เห็นสถานะของราคาที่ผ่านมา เห้นแนวรับแนวต้าน หรือใช้คาดการณ์ทิศทางข้างหน้าของราคา เช่น ช่วงเปลี่ยนเดือนใหม่ เป็นต้น
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Time Session
Time Session คือหลักการเทรดที่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะจะทำให้เราลดความผิดพลาดของการเทรดลงไปได้ Time Session จะแสดงให้เราได้เห็นช่วงเวลาเปิดปิดและเวลาของตลาดที่เปิดคาบเกี่ยวกัน
การเทรดที่ดี และ สร้างโอกาสของการทำกำไรคือการเลือกเข้าเทรดในช่วงที่ตลาดของคู่เงินที่เกี่ยวข้องเปิดทำการ เช่นคู่ EURUSD และ GBPUSD เวลาที่เหมาะสมมากที่สุดคือเวลา 19:00 น. ถึง 23:00 น. เพราะตลาดยุโรปเหิด 14:00 น. ถึง 23:00 น. ตลาดสหรัฐฯ เปิด 19:00 น. ถึง 04:00 น. ดังนั้นเวลาที่ตลาดทั้งสองเปิดคาบเกี่ยวกันก็คือช่วงเวลา 19:00 น. ถึง 23:00 น. เป็นช่วงที่คู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องจะวิ่งได้แรง ทำให้คาดการณ์ทิศทางได้ง่ายกว่าการเข้าเทรดนอกช่วงเวลาที่ตลาดของคู่เงินนั้นๆ ปิด
หลายคนก็ใช้วิธีรอเข้าเทรดตอนตลาดเปิด เพราะจะคาดการณ์ทิศทางได้ง่าย เพราะเราสามารถเห็นพฤิกรรมของราคาในตอนตลาดปิดได้ชัดเจน ทำให้คาดการณ์ว่าหากตลาดเปิดทิศทางราคาจะไปทางไหน บางคนก็ใช้วิธีตั้งค่า Pending Order แบบ Buy Stop และ Sell Stop ดักรอไว้ช่วงหลังตลาดปิดไปแล้ว หรือ ช่วงตลาดเปิดใหม่ๆ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Big Arrow
เป็นเครื่องมือหาจุดกลับตัวของราคา โดยแสดงรูปลูกศร และ มีเส้นค่าเฉลี่ยนเคลื่อนที่แบบแสดงสีของเทรนด์ได้
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
MACD
MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่มีมากับ MT4 ใช้ในการหาโมเมนตัมของราคา แต่สำหรับระบบเทรดนี้ได้นำเอาสัญญาณ MACD มาพัฒนาให้สามารถแสดงผลรวมกับกราฟได้เลย เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตุ
หลักการใช้งานพื้นฐานนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน
หากแถบสี MACD เปลี่ยนจากสีน้ำตาลไปเป็นสีน้ำเงิน แสดงถึงโมเมนตัมของราคาเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
หากแถบสี MACD เปลี่ยนจากสีน้ำเงินไปเป็นสีน้ำตาล แสดงถึงโมเมนตัมของราคาเปลี่ยนเป็นขาลง
นอกจากนั้นระบบเทรดยังสามารถแสดงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้าไปด้วย 1 เส้น เพื่อใช้ยืนยันการเข้าออเดอร์ โดยดูตำแหน่งของแท่งเทียนประกอบ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Harmonic Pattern
Harmonic Pattern เป็นรูปแบบของกราฟราคาประเภทหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นพฤติกรรม และ อารมณ์ของตลาด แต่อย่างไรก็ดีเทคนิคการเทรดด้วย Harmonic Pattern ไม่ได้ง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องของ แนวรับ-แนวต้าน เรื่องของ Demand Supply และ ที่สำคัญของการเทรดด้วย Harmonic Pattern นอกจากจะต้องจดจำรูปแบบต่างๆของ Harmonic Pattern แล้ว สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างมากก็คือตำแหน่งการย่อตัวหรือการทดสอบของราคาบนระดับต่างๆของเครื่องมือ ฟิโบนัชชี (Fibonacci) ตรงนี้สำคัญมากที่สุด
เนื่องจากรูปแบบของ Harmonic Pattern ที่ปรากฎบนกราฟมันมีทั้งที่เกิดแล้วราคาเป็นไปตามหลักการของ Harmonic Pattern กับเกิดแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การเทรดด้วย Harmonic Pattern ต้องอาศัยเทคนิคอื่นๆมาร่วมด้วยเช่น Demand Supply หรือ การหาโมเมนตัม การหา Overbought/Oversold เพราะมันจะเป็นตัวยืนยันรูปแบบของ Harmonic Pattern ที่เกิดขึ้นมาเป็นของจริง หรือ ของปลอม
สำหรับมือใหม่แนะนำว่า ควรศึกษษและฝึกฝนจากเครื่องมือที่เรียบง่ายก่อน มันเป็นการฝึกตามเทคนิคพื้นฐานของการเทรดจริงๆ เราจะได้เรียนรู้อารมณ์ของตลาดที่สะท้อนผ่านกราฟราคา เห็นพฤติกรรมการวิ่งของราคาที่ล้อไปกับสัญาณพื้นฐานที่ใช้ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ การฝึกใช้ MACD เอาแค่นี้ก็สามารถทำกำไรได้แล้ว และหากใช้งานนานๆ เราจะเกิดทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ท่านคาดไม่ถึง หลักการเทรดของท่านก็จะอิงเรื่องของ แนวรับ-แนวต้าน และ โมเมนตัม ไปโดยอัตโนมัติ ถือว่าเป็นท่าไม้ตายพื้นฐานที่สามารถนำไปต่อยอดกับเทคนิคชั้นสูงได้กับทุกๆเทคนิคอย่างลงตัว และ การศึกษาเทคนิคชั้นสูงก็จะง่ายและเร็วขึ้นอย่างมาก
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Divergence
Divergence คือพฤติกรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อย เป็นพฤติกรรมของราคา กับ เครื่องมือประเภทออสซิลเลเตอร์เช่น MACD ,RSI หรือตัวอื่นๆอีกหลายตัว ที่มันวิ่งสวนทางกัน หรือ ขัดแย้งกัน
โดยปกติกราฟราคาหรือแท่งเทียน กับ เส้นสัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์ มันจะวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือ กราฟราคาวิ่งขึ้น สัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์ก็จะวิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน หรือ กราฟราคาวิ่งลง สัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์ก็จะวิ่งลงเช่นเดียวกัน แต่จะมีบางครั้งที่กราฟราคา กับ สัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์ วิ่งไปคนละทาง หากเห็นภาพแบบนี้ให้คาดไว้ก่อนว่ามันคือการเกิด Divergence ที่มีผลให้ราคาเปลี่ยนแปลงที่แรง โดยเฉพาะการกลับตัวในเทรนด์ใหญ่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้น
วิธีการสังเกตุสัญญาณ Divergence นั้นง่ายมากๆ ให้เรายึดทิศทางของสัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์เป็นตัวชี้ทิศทางราคาของอนาคนอันใกล้
ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นราคาวิ่งลงต่อเนื่อง แล้วเกิดการพักตัว แต่ สัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์กลับวิ่งขึ้น ให้อนุมานได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีการกลับตัวของราคาไปเป็นขาขึ้น หรือ หากเห็นกราฟราคาวิ่งขึ้นต่อเนื่องแล้วเกิดการพักตัว แต่ สัญญาณประเภทออสซิลเลเตอร์กลับวิ่งลง ให้อนุมานได้ว่าราคาอาจมีโอกาสที่จะกลับตัวไปเป็นขาขึ้นเร็วๆนี้
นอกจากการใช้ Divergence หาการกลับตัวของเทรนด์ได้แล้ว เรายังสามารถใช้ Divergence ในการเทรดแบบ Trend Following ได้อีกด้วยโดยการใช้หลักการ Hidden Divergence หาการย่อของราคา ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรเลย ลองดูตามภาพประกอบได้
สัญญาณ Divergence นั้นมันมีทั้งจริงและปลอม ต้องดูที่จุดที่มันเกิดว่ามันมีนัยยะสำคัญหรือไม่ เช่นเกิดขึ้นบริเวณ Demand หรือ Supply แบบนี้ถือว่ามันมีนัยยะสำคัญที่จะเป็น Divergence ของจริง
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Reversal
Reversal เป็นเครื่องมือพิเศษที่ใช้บ่งบอกหรือเตือนการกลับตัวของราคา โดยสัญญาณนี้จะสามารถเตื่อนการกลับตัวของราคาได้ 3 ระดับคือ
1. เตือนการกลับตัวในรอบเล็กสุด หรือ เทรนด์ย่อย จะแสดงเป็นรูปดาว
2. เตือนการกลับตัวในรอบขนาดกลางเป็นเทรนด์ที่ใหญ่ขึ้นมา จะแสดงเป็นรูปพระจันทร์
3. เตือนการกลับตัวในรอบขนาดใหญ่หรือเทรนด์ใหญ่ จะแสดงเป็นรูปพระอาทิตย์
การใช้งานสัญญาณ Reversal นี้ควรใช้สัญญาณอื่นๆร่วมยืนยันด้วย เช่น Price Action หรือ Demand Supply หรือ Overbought/Oversold
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Triple Bollinger Bands
Bollinger Bands เครื่องมือยอดนิยมที่ได้รับความนิยมตัวใหญ่ของวงการเทรดที่มีมากับ MT4 แต่เครื่องมือ Bollinger Bands ของระบบเทรด Super High Profit Tools จะออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายกว่าของ MT4 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Triple Bollinger Bands เพราะระบบได้สร้างเส้นกรอบราคาเป็นแบบ บน 3 เส้น และ ล่าง 3 เส้น
โดยในภาพล่างนี้เส้นทึก 3 เส้น ที่อยู่รอบในคือ เส้นสีน้ำเงิน เส้นสีเทา เส้นสีแดง ทั้งสามเส้นนี้คือเส้นปกติของสัญญาณ Bollinger Bands ที่เหมือนกับ MT4 แต่อีกสองเส้นที่ระบบเทรดนี้เพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้ยืนยันแรง หรือ โมเมนตัมของราคา โดยมีหลักการดูดังนี้
เทรนด์เป็นขาลงมานานแล้ว (ในภาพดูจากจุด Sell ลงมาหาจุด Buy ถือว่า ณ.จุด Buy นี้บ่งบอกว่าเทรนด์ขาลงเกิดขึ้นมานานแล้ว) เมื่อราคาทะลุกรอบล่างนอกบริเวณสองเส้นที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และ อาจมีการแสดงไส้เทียนด้านล่างยาวๆ แสดงว่าโมเมนตัมขาลงอิ่มตัวสุดแล้ว ราคามีโอกาสเปลี่ยนเป็นเทรนด์ขาขึ้น
เทรนด์เป็นขาขึ้นมานานแล้ว เมื่อราคาทะลุกรอบบนนอกบริเวณสองเส้นที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และ อาจมีการแสดงไส้เทียนด้านบนยาวๆ แสดงว่าโมเมนตัมขาขึ้นอิ่มตัวสุดแล้ว ราคามีโอกาสเปลี่ยนเป็นเทรนด์ขาลง
เทรนด์พึ่งเปลี่ยนทิศทางมาใหม่ๆ เช่นพึ่งกลับตัวเป็นขาขึ้น แท่งราคาวิ่งแรงทะลุเส้นกรอบราคาบนปกติ ออกไปหาเส้นกรอบราคานอกบริเวณสองเส้นที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นี้ แสดงว่าเทรดขาขึ้นมีความแรง ราคามีโอกาสไต่ตามเส้นกรอบนอกขึ้นไปต่อได้ ไม่ใช่การกลับตัวของเทรนด์ไปเป็นขาลง เพราะเทรนด์พึ่งกลับตัวเป็นขาขึ้นมาใหม่ๆ จะมีโอกาสขึ้นไปต่อมากกว่า
เทรนด์พึ่งเปลี่ยนทิศทางมาใหม่ๆ เช่นพึ่งกลับตัวเป็นขาลง แท่งราคาวิ่งแรงทะลุเส้นกรอบราคาล่างปกติ ออกไปหาเส้นกรอบราคานอกบริเวณสองเส้นที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นี้ แสดงว่าเทรดขาลงมีความแรง ราคามีโอกาสไต่ตามเส้นกรอบนอกลงไปต่อได้ ไม่ใช่การกลับตัวของเทรนด์ไปเป็นขาขึ้น เพราะเทรนด์พึ่งกลับตัวเป็นขาลงมาใหม่ๆ จะมีโอกาสลงไปต่อมากกว่า
ดังนั้นเส้นกรอบนอกสองเส้นที่เพิ่มขึ้นมานี้นอกจากใช้บอกการกลับตัวของราคาแล้ว ยังเป็นตัวบ่งบอกยืนยันความแข็งแรงของเทรนด์ได้ด้วย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Market Price
Market Price คือเส้นกรอบราคาโดยใช้ราคาสูงสุด และ ต่ำสุดเป็นตัวกำหนดกรอบราคา จุดประสงค์ก็คือการใช้ตั้งค่า Stop loss เป็นหลัก เพราะเราเห็นระดับที่เป็นราคาสูงสุด และ ต่ำสุดได้ชัดเจน เราก็สามารถกำหนดจุดวาง Stop loss ได้โดยวางห่างออกจากเส้นประมาณ 20-50 จุด เพื่อให้ปลอดภัยต่อการโดนราคาวิ่งชน Stop loss
นอกจากใช้เป็นระดับในการวาง Stop loss แล้ว ยังสามารถใช้วาง Take Profit ได้ด้วย โดยการมองย้อนหลังไปหาระดับราคาที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ที่ไม่นานมากเกินไป เอามาเป็นจุดวาง Take Profit
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Ichimoku
Ichimoku เครื่องมือยอดนิยมตัวหนึ่งของวงการเทรดโลก รายละเอียดของการใช้งานเครื่องมือ Ichimoku นี้จะขอนุญาตไม่กล่าวถึงเพราะท่านสามารถศึกษาได้จาก Youtube ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ มีให้เลือกศึกษามากมายหลายร้อยคลิป
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Binary Option
เครื่องมือ Binary Option นี้ถูกออกแบบให้ทำงานได้ที่ไทม์เฟรมต่ำสุดคือ M1 และ ยังรองรับการทำงานในไทม์เฟรมใหญ่ได้อีกด้วย การใช้งานก็เพียงแค่ดูสัญญาณรูปลูกศรที่ปรากฎ แต่แนะนำว่าควรมีสัญญาณช่วยยืนยันร่วมด้วย เช่นตามภาพล่างนี้ใช้ Market Trends Direction และ Trends Direction ช่วยยืนยันทิศทาง
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
RSI
RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือที่มืออาชีพทั่วโลกใช้งานกันมากที่สุดตัวหนึ่ง เหมาะสำหรับการเทรดในไทม์เฟรมที่ใหญ่ซักหน่อย ยิ่งไทม์เฟรมใหญ่ยิ่งแม่นยำ เพราะเคร่องมือพวกนี้ออกแบบมาในการดูข้อมูลระดับวัน นั้นก็คือจะใช้ตั้งแต่ D1 ขึ้นไป แต่เรายังสามารถนำมาใช้ในไทม์เฟรมที่ต่ำกว่า D1 ก็ได้ อาจลดค่า Period ลงไป โดยค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ค่า Period 14 เราอาจลดเป็น 5 หรือ 7 ตามความเหมาะสมกับไทม์เฟรมที่ใช้งาน
หน้าที่หลักๆของ RSI ก็คือ การหารอบของราคาในการเทรด โดยเฉพาะคนที่เทรดยาวจะช้ดูรอบของเทรดขาขึ้น หรือ รอบของเทรด์ขาลง โดยดูที่ไทม์เฟรมใหญ่ เพื่อทำการ Mark หรือ กำหนดจุดเริ่มต้นของรอบราคา
เทรดเดอร์บางคนอาจใช้ระดับ 50 เป็นระดับอ้างอิงยืนยันการเปลี่ยนโมเมนตัมของราคาในการเทรดสั้น หากราคาวิ่งตัด RSI 50 ขึ้นไปก็เปิด Buy และ หากราคาวิ่งตัด RSI 50 ลงก็เปิด Sell
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Flag Pattern
Flag Pattern คือรูปแบบของ Price Pattern ประเภทหนึ่ง ซึ่ง Flag Pattern มีหลายรูปแบบ โดยแบ่งออกได้ 2 สถานะหลักคือ
1. สถานะราคาไปต่อในทิศทางเดิม (Continuation Pattern)
2. สถานะเกิดการกลับตัวของราคา (Reversal Pattern)
วิธีใช้งาน Flag Pattern นั้นไม่ต้องคิดมากให้มองว่ามันคือการตีเส้นเทรนด์ไลน์ย่อยด้านบนและด้านล่างของกลุ่มแท่งราคา เพื่อรอดูว่าจะเกิดการ Breakout ของราคาออกไปด้านไหน เพื่อให้เกิดความแม่นยำ เราต้องดูรูปแบบของ Flag Pattern ร่วมกับ Demand Supply หรือ Overbought/Oversold และหากใช้ Divergence ช่วยยืนยันก็จะแม่นยำยิ่งขึ้น
เพราะเมื่อเราเห็นสถานะของราคาว่าอยู่ตรงไหน อยู่ที่ Demand (โซนแนวรับ) หรือ Supply (โซนแนวต้าน) เราก็จะคาดการณ์ได้ใกล้เคียงขึ้นว่า ราคามีโอกาสจะไปทางไหนมากกว่ากัน เช่นรูปแบบ Flag Pattern ไปเกิดที่ Supply zone หลักที่มีนัยยะสูงเป็น Supply zone ที่สด และ มันเป็นต้นเทรนด์ใหญ่ของการกลับตัวเป็นขาลงครั้งล่าสุด และ ราคาได้ลงมาสร้าง Demand zone แล้วกลับตัวขึ้นไปหา Supply zone ที่เป็นต้นเทรนด์ขาลงครั้งที่แล้ว (ราคาได้กลับมาทดสอบที่ Supply zone ใหญ่อีกครั้ง) สถานะของราคาแบบนี้แหละ เราจะมองหารูปแบบ Flag Pattern ในการช่วยยืนยันการกลับตัวของราคาในเทรดใหญ่
หรือ เราอาจจะมองหารูปแบบ Flag Pattern ในขณะที่ราคามันวิ่งเป็นเทรนด์ที่แข็งแรงเราจะมองหารูปแบบของ Flag Pattern ประเภท Continuation Pattern เพื่อช่วยยืนยันการไปต่อของราคา และ เราจะเลี่ยงการเทรดเมื่อเจอ Flag Pattern ประเภท Reversal Pattern เพราะมันเป็นการเทรดสวนเทรนด์หลักนั้นเอง
สรุปก็คือเราจะเลือกใช้งาน Flag Pattern ให้ตรงกับสถานะของราคา
ถ้าราคาวิ่งเป็นเทรนด์ที่แข็งแรงเราก็จะใช้งาน Continuation Pattern
ถ้าราคาวิ่งไปสุดเทรนด์หลักบริเวณ Demand หรือ Supply เราก็จะใช้งาน Reversal Pattern
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
SPDR-DXY
SPDR (Standard & Poor’s Depositary Receipt) คือกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ บางทีจะนิยมเรียกชื่อว่า SPDR Gold Trust กองทุนนี้จะเปิดให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนโดยการเข้าไปถือทองคำแท่งจริงๆ ไม่ใช่การซื้อสัญญาล่วงหน้าแบบที่เราเทรดกัน โดยทองคำแท่งทั้งหมดได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ HSBC Bank ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กองทุน SPDR ยังมีการเข้าไปลงทุนในตลาดอื่นๆ อีกทั่วโลก กองทุน SPDR จึงเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่นักลงทุนนิยมเข้าไปลงทุน ดังนั้นปรมาณทองคำแท่งที่ซื้อเพิ่มเข้ามา หรือ ขายออกไป ของกองทุน SPDR จึงส่งผลต่อราคาทองคำโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
DXY หรือ US dollar index คือดัชนีชี้วัดค่าความอ่อน-แข็งของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ (USD) โดยสถานการณ์ปกติ หากค่าเงิน USD แข็งค่า ราคาทองคำก็จะตกลง และ หากค่าเงิน USD อ่อนค่าราคาทองคำก็จะเพิ่มสูงขึ้น อันนี้เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถส่งผลให้ทิศทางของราคาทองคำไม่เป็นไปตามค่าความอ่อนแข็งของสกุลเงิน USD ความตื่นตระหนกจากข่าวแรงๆ หรือ การเก็งกำไรล่วงหน้าของกองทุน ทำให้เกิดการซื้อหรือขายจำนวนมากๆ ของกองทุน SPDR ที่ส่งผลต่อราคาทองคำโลก โดยที่ค่าเงิน USD ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเลย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นักเทรดทองคำคงเคยเห็นบ่อยๆ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Heiken Ashi
Heiken Ashi คือรูปแบบของแท่งราคาอีกรูปแบบหนึ่ง โดยจะแตกต่างจากรูปแบบแท่งเทียนคือ แท่งเทียนจะแสดงให้เห็นจุดที่เป็นราคาเปิด-ราคาปิด-สูงสูง-ราคาต่ำสุด ได้ชัดเจน แต่ Heiken Ashi นั้นเน้นออกแบบให้มองเห็นความเป็นเทรนด์ (Trend) เป็นหัวใจหลัก ทำให้เราสามารถแยกความแข็งแรงของเทรนด์ได้ง่ายและชัดเจน ลดความสับสนลงไปได้มาก
เราสามารถแยกเทรนด์ขาขึ้น เทรนด์ขาลง และ ไซด์เวย์ ได้ง่ายกว่าการมองด้วยแท่งเทียนแบบปกติ
ข้อสังเกตุอีกอย่างที่ Heiken Ashi แตกต่างจากแท่งเทียนก็คือ ไส้ของแท่งราคา โดย Heiken Ashi หากไว้อยู่ข้างบนแสดงถึงแท่งนั้นมีแรงขาขึ้นมาก และไส้อยู่ด้านล่างแสดงว่าแท่งนั้นมีแรงขาลงมาก ซึ่งตรงจุดนี้ที่แตหต่างจากแท่งเทียนปกติ
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Stochastic
Stochastic เป็นเครื่องมือประเภทออสซิลเลเตอร์แบบหนึ่งที่คล้ายๆ RSI แต่มีความเร็วของการเคลื่อนที่ของสัญญาณเร็วกว่า RSI โดย RSI จะเหมาะสมกับการมองหารอบของราคา หรือ รอบของเทรนด์ เป็นหลัก ส่วน Stochastic เหมาะสมกับการเทรดสั้น เล่นรอบสั้น เป็นอย่างมาก
การใช้งานก็สังเกตุเพียงการตัดของเส้นตามภาพ เพื่อหาจุดเตรียมเปิดเข้าออเดอร์
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
Analyzer
สามารถกำหนดชื่อสินค้าที่ต้องการได้เอง โดยดูจากช่อง Market Watch ด้านซ้ายมือ ใส่เฉพาะชื่อสินค้าหลักก็พอ ถ้าบัญชีที่เทรดมี Suffix ตามท้ายชื่อสินค้าก็ไม่ต้องใส่ Suffix ดูตัวอย่างตามภาพล่างนี้
โดยปรับตั้งค่าได้ที่ TOOLS-28
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
HPS-Market-Trends + HPF-Trend-Direction
เครื่องมือนี้แนะนำให้ใช้งานเทรดตามเทรดหลัก เช่น หากจะใช้ H1 ในการเข้าออเดอร์ ควรดูเทรนด์หลักของ H4 ว่าเป็นฝั่งไหน เช่น H4 เป็นขาขึ้นชัดเจน เมื่อใช้เครื่องมือ Market Trends + Trend Direction ที่ H1 ก็ควรเน้นใช้เงื่อนไขเฉพาะฝั่ง Buy คือ เน้นดูที่แท่งสัญญาณสีเขียวทั้งสองต้องตรงกัน เพื่อให้ได้ระยะการทำกำไรที่ยาวนั้นเอง
HPF-BuySell-Analyzer
HPF-BuySell-Analyzer จะเป็นตัวช่วยในเรื่องของการบอกปริมาณการซื้อขาย บอกถึงสถานะของราคาว่าเป็น Overbought หรือ Oversold จากเครื่องมือ Stochastic ,RSI ,CCI ,MFI และ ยังสามารถบอกสถานะของเทรนด์ปัจจุบัน รวมถึงค่าความอ่อนแข็งทิศทางราคาของคู่เงินหลักๆ
ในเวอร์ชั่นใหม่จะเพิ่มเครื่องมือ Awesome Oscillator Trend Direction ขึ้นมาซึ่งเป็นเครื่องมือยอดนิยมตัวหนึ่งที่เทรดเดอร์ทั่วโลกนิยมใช้งานกัน ด้วยความที่ดูง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่มีความแม่นยำที่น่าพอใจ ยิ่งหากจับจังหวะในการเทรดตามเทรนด์ได้ดี มันจะมีความแม่นยำจนน่าแปลกใจ
สำหรับเครื่องมือตัวนี้จะสามารถแสดงการทำงานของ Awesome Oscillator ได้พร้อมกัน 4 ไทม์เฟรมในหนึ่งหน้าจอโดยสรุปออกมาเป็นสถานะของทิศทาง ซึ่งปกติในการใช้งาน Awesome Oscillator เราจะไม่สามารถเปิดแสดงสัญญาณ Awesome Oscillator ได้หลายไทมืฌฟรมในหนึ่งหน้าจอ เพราะเครื่องมือ Awesome Oscillator ที่มากับ MT4 จะไม่มีส่วนให้กำหนดค่าไทม์เฟรมได้เอง มันจะอ้างอิงไทม์เฟรมของหน้าจอที่เปิดกราฟเป็นหลัก หากจะเปิด Awesome Oscillator ดู 4 ไทม์เฟรมต้องเปิดหน้าจอกราฟ 4 หน้าจอในไทม์เฟรมที่แตกต่างกัน ทำให้ยุ่งยากในการดูต้องสลับหน้าจอไปมา
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
ส่วนของอีเอ
EA ของระบบเทรด Super High Profit Tools เป็น EA ที่ช่วยงานเทรดมือให้สะดวกและรวดเร็วกว่าการเทรดด้วย MT4 แบบปกติ รวมถึงยังมีระบบช่วยคำนวณเกี่ยวกับ Money Management ให้โดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดการ Money Management กลายเป็นเรื่องง่ายๆ
ระบบ Money Management
ระบบจัดการออเดอร์
ตัว EA ของ Super High Profit Tools มีประโยชน์อย่างไร
======================================
ปกติเวลาจะเปิดออเดอร์ที่เป็น Market order จะต้องทำดังนี้
1. กดปุ่ม F9 หรือ คลิ๊กที่ Panel Buy Sell ที่มุมซ้ายบนของจอ
2. คลิ๊ก Buy หรือ Sell
3. จากนั้นทำการสร้าง Stop loss
4. ทำการสร้าง Take Profit
======================================
ปกติเวลาจะเปิดออเดอร์ที่เป็น Pending order จะต้องทำดังนี้
1. กดปุ่ม F9
2. คลิ๊กที่หัวข้อ Type เพื่อเลือก Pending Order
3. คลิ๊กเลือกประเภทของออเดอร์เช่น Buy Limit ,Sell Limit ,Buy Stop ,Sell Stop
4. ใส่ราคาที่จะเปิดออเดอร์ที่ช่อง at price
5. ใส่ราคาของ Stop loss
6. ใส่ราคาของ Take Profit
7. คลิ๊กที่ปุ่ม Place แล้ว คลิ๊ก OK
=========================================
แต่หากใช้ EA ของ Super High Profit Tools จะทำดังนี้
ขั้นตอนการเปิดออเดอร์ที่เป็น Market order
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Buy หรือ Sell
ก็จะได้ออเดอร์พร้อม Stop loss และ Take Profit ให้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่คลิ๊กครั้งเดียว
==========================================
ขั้นตอนการเปิดออเดอร์ที่เป็น Pending order
1. คลิ๊กที่ปุ่มประเถทของออเดอร์ได้โดยตรงเช่น Buy Limit ,Sell Limit ,Buy Stop ,Sell Stop
ก็จะได้ออเดอร์พร้อม Stop loss และ Take Profit ให้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่คลิ๊กครั้งเดียว
==========================================
นอกจากการสั่งเปิดออเดอร์แล้ว EA ของ Super High Profit Tools ก็ยังสามารถสั่งปิดออเดอร์ได้หลายรูปแบบเช่น
1. สั่งปิดออเดอร์เฉพาะออเดอร์ที่เปิดอยู่และมีกำไรขั้นต่ำมากกว่าที่กำหนดไว้ ส่วนออเดอร์ที่มีกำไรยังไม่ถึงขั้นต่ำที่กำหนดไว้ก็จะยังทำงานต่อไป
2. สั่งปิดออเดอร์ที่เปิดไว้ทั้งหมด
3. สั่งปิด Pending Order ที่เปิดไว้ทั้งหมด
4. สั่งปิดเฉพาะออเดอร์ Buy
5. สั่งปิดเฉพาะออเดอร์ Sell
===========================================
EA ของ Super High Profit Tools ยังมีระบบช่วยคำนวณหาจุด Overtrade ช่วยหาจำนวนกำไร/ขาดทุน และ ระยะ Stop loss/Take Profit
===========================================
จะเห็นได้ว่า EA ของระบบเทรด Super High Profit Tools สามารถจัดการเรื่องของออเดอร์ได้อย่างสะดวกสบาย และ ลดขั้นตอนยุ่งยากลงไปได้มาก
ความคิดเห็นล่าสุด