เป็นคำถามที่ถามเข้ามามากว่าจะเลือกกลยุทธ์การเทรดแบบไหนดี Scalper ,Sniper ,Swing trade, Day trade และชื่ออื่นๆ ซึ่งก่อนอื่นต้องบอกว่าชื่อเหล่านี้เป็นเพียงชื่อเรียกวิธีการทำกำไรเท่านั้น มันเป็นแค่ชื่อเท่านั้น ก่อนที่จะเลือกว่าจะใช้กลยุทธ์ใดระหว่าง Scalper ,Sniper ,Swing trade, Day trade ฯลฯ เราต้องมองเทคนิคการเทรด สั้น และ เทรดกลาง และ เทรดยาว ให้ออกก่อน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราใช้กลยุทธ์การเทรดที่สุดจะย้อนแย้งในทางปฎิบัติ ส่งผลเสียต่องานเทรดเป็นอย่างมาก
ดังนั้นสิ่งแรกสุดก่อนที่จะพูดถึงกลยุทธ์ Scalper ,Sniper ,Swing trade, Day trade เราจำเป็นต้องมาทำความเข้าใจเรื่องของ เทรดสั้น เทรดกลาง เทรดยาว กันก่อน เพราะไม่เช่นนั้นงานเทรดออกมามั่วแน่นอน อ้อ.แล้วยังมีอีกคำถามหนึ่งคือ จะใช้ไทม์เฟรมอะไรดี ตรงนี้เองหากไม่เข้าใจ เทรดสั้น เทรดกลาง เทรดยาว ก็จะไม่เข้าใจว่าจะใช้ไทม์เฟรมอะไรดี และเมื่อไม่เข้าใจพื้นฐานของสไตล์การ เทรดสั้น เทรดกลาง เทรดยาว กับ ไทม์เฟรม แล้วจะเลือกกลยุทธ์การเทรด Scalper ,Sniper ,Swing trade, Day trade ฯลฯ ยิ่งสับสนและมั่วกันไปทั้งขบวนการเทรด
เทรดสั้น
คำว่าเทรดสั้นคือการ เก็บกำไรสั้นๆ การเก็บกำไรสั้นๆ ในจำนวนจุดที่น้อย ก็ต้องเปิด Lot size ที่ใหญ่เพื่อให้แต่ละจุดที่เคลื่อนที่มีราคาสูง และ ต้องเทรดด้วยไทม์เฟรมที่มีระยะการขึ้นๆลงๆของกราฟที่เร็ว เพราะต้องต้องเก็บกำไรเป็นรอบๆ เช่น รอบขึ้นๆลงๆจของลูกคลื่นโดยเฉลี่ยที่ M15 มีระยะขึ้นและลงโดยเฉลี่ยประมาณ 500 จุด เราต้องการเก็บระยะทำกำไรที่ 200 จุด แบบนี้ M15 เหมาะสม ถ้าเราสามารถเข้าออเดอร์ในช่วงต้นๆเทรนด์ของ M15 ได้ระยะทำกำไร 200 จุดถือว่ามีความเป็นไปได้สูง และ มันเกิดขึ้นได้บ่อยๆบนระยะขึ้นๆลงๆที่ 500 จุดของไทม์เฟรม M15
หากเราต้องการกำไรที่ 200 จุด และ ไปใช้ไทม์เฟรม M5 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยประมาณ 300 จุด (เป็นการสมมุติให้เห็นภาพ เพราะสินค้าแต่ละตัวอาจมีค่าเฉลี่ยการขึ้นๆลงๆของกราฟราคาไม่เท่ากัน) ระยะขึ้นๆลงๆเฉลี่ยที่ 300 จุด แต่เราไปตั้งเป้าจำทำกำไรที่ 200 จุด แบบนี้มันเสี่ยงมากจนเกินไป เพราะกราฟราคามันไม่ได้วิ่งจาก 1 ไป 300 จุดในทางเดียว มันมีสวิงแกว่งตัวไปมา บางทีมันวิ่งไม่ถึง 200 จุดแล้วกลับตัวก็มี มันเป็นความเสี่ยงอย่างมาก หากเราต้องการกำไรที่ 200 จุด เราไปเทรดในไทม์เฟรมที่มีระยะเฉลี่ยของการขึ้นๆลงๆของลูกคลื่นประมาณ 500-1000 จุด ก็จะมีความเหมาะสม
แต่หากไปเลือกไทม์เฟรมที่ใหญ่เกินไปเช่นมีระยะการขึ้นๆลงๆที่ 5000 จุดแบบนี้มันทำได้แต่กราฟเคลื่อนที่ช้ามาก มีความเสี่ยงในกรณีที่กราฟสวนทางในจำนวนจุดมากๆก็มีสูง เช่น สวนทาง 700จุด แบบนี้ก็แย่ เพราะเราตั้งระยะการทำกำไรไว้ที่ 200 จุด มันขัดหลักการ Risk and Reward ratio ที่ระยะขาดทุนจะต้องน้อยกว่าระยะการทำกำไร มันกลายเป็นการย้อยแย้งกันเป็นอย่างมาก เป็นการเทรดที่ยอมให้ติดลบได้มากกว่าระยะการทำกำไร มันผิดหลักการ
ดังนั้นหากจะเทรดสั้นระยะการสวนกลับจะต้องมีค่าไม่มากเกินระยะทำกำไร มากเกินจนน่าเกลียด ท่านต้องเลือกใช้ไทม์เฟรมให้เหมาะสมกับระยะการทำกำไร หากจะสรุปหัวใจหลักๆของการเทรดสั้นก็จะได้ดังนี้
1. คำว่าเทรดสั้น หมายถึงการเก็บกำไรสั้นๆ ไม่ใช่ว่าไปตั้ง TP ไกลๆเพราะอยากได้กำไรมากมันย้อนแย้งกันมาก
2. ต้องกำหนดระยะทำกำไรที่ตายตัว และ ต้องเทรดตามระบบ ห้ามเลื่อน SL / TP ส่วนใหญ่จะจบออเดอร์ภายในวัน
3. เทรดสั้นต้องอาศัยทักษะของจังหวะการเปิดเข้าออเดอร์ที่สูง ต้องฝึกฝนในการรอจังหวะ โดยเฉพาะจังหวะการย่อตัวของราคาต้องแม่นยำ โดยการซูมกราฟเข้าไปในไทม์เฟรมที่เล็กลง เพื่อขยายให้เห็นไส้เทียนให้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากระยะทำกำไรสั้น จะเผื่อ + – มากๆไม่ได้ จะยอมให้ลากไปก่อน แล้วรอให้ราคากลับมาไม่ได้โดยเด็ดขาด
4. ต้องบริหารพอร์ต โดยใช้การจำกัดความเสี่ยงอย่างเคร็งครัด เพราะเทรดสั้นระยะทำกำไรสั้นๆ จำเป็นต้องเปิด Lot position ที่ใหญ่เพื่อชดเชยระยะ TP ที่สั้น มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่สูงขึ้น ดังนั้นต้องรอบคอบ และ ใส่ใจเรื่องระบบจำกัดความเสี่ยงให้มาก
5. ต้องฝึกให้อารมณ์นิ่ง ยิ่งคนใจร้อน รอไม่ได้อยากเทรดสั้นๆเก็บกำไรเร็วๆให้ทันใจ แต่ความใจร้อนนี้แหละมันไม่ได้เหมาะกับการเทรดสั้นเลย มันเป็นอุปสรรคของการเทรดสั้นเลยแหละ เพราะใจร้อน ไม่นิ่ง พอเสียก็จะหัวร้อน จากนั้นก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ กลายเป็นใช้อารมณ์หัวร้อนเทรด ก็ยิ่งเสียหายหนัก เทรดสั้น ต้องใจนิ่ง มีวินัย คุมอารมณ็ให้ได้ เพราะต้องอยู่หน้าจอบ่อย จะมีความเครียดที่สูงกว่าเทรดยาวมาก
6. เทรดสั้นสามารถเทรดได้กับทุกไทม์เฟรม ไม่จำเป็นต้องที่ไทม์เฟรมเล็กเสมอไป เพราะนิยามของคำว่าเทรดสั้นคือ “การเก็บกำไรสั้นๆ” จะใช้ไทม์เฟรมอะไร ก็เลือกใช้ตามความถนัด อย่าฝืนบังคับความถนัด ต้องใช้ความถนัดในการเทรดให้มากที่สุด
7. เทรดสั้นเหมาะกับคู่เงินที่มีค่า สเปรดที่ต่ำที่สุด(อันนี้อยู่ที่โบรกต้องเลือกให้ดี)
8. เทรดสั้นต้องเลือกคู่เงินที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่แรงชัดเจน ไม่ใช่กราฟไปแบบซึมๆ ควรเลือกเข้าเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดของคู่เงินนั้นเปิดทำการ ควรเลี่ยงเทรดในช่วงนอกเวลาทำการของตลาด เพราะราคาที่วิ่งมันไม่ใช่ของจริง
9. เทรดสั้นต้องมีเงินทุนในพอร์ตที่มาก ยิ่งมากยิ่งดี ต้องคำนวณดูด้วยว่าราคาต่อจุดของสินค้าที่เทรดมันเท่าไหร่ จะเปิด Lot ที่ยอมรับได้ต่ำสุดเท่าไหร่ เพราะ Lot สำคัญต่อการเทรดสั้นมาก และหากเปิด Lot ตามที่กำหนดไว้หากพลาดจะพลาดได้กี่ครั้งจึงจะล้างพอร์ต ต่ำสุดไม่ควรต่ำกว่า 10 ครั้ง ยิ่งจำนวนออเดอร์ที่สามารถพลาดได้มากๆจึงล้างพอร์ต ยิ่งทำให้เราสามารถอยู่ในเกมการเทรดได้ยาว สำหรับคนเงินทุนน้อยๆไม่ควรเทรดสั้น เพราะโอกาสรอดจะยากมาก โอกาสล้างพอร์ตจะสูงมาก
เทรดกลาง
ก็ไม่ได้ต่าวกับการเทรดสั้น เพียงแต่ระยะการทำกำไรมีมากกว่า เราก็ต้องขยับไปเทรดในไทม์เฟรมที่ใหญ่กว่าเทรดสั้น เพราะระยะทำกำไรมากขึ้นก็ต้องหาไทม์เฟรมที่มีระยะการแกว่งตัวที่ขึ้นๆลงๆมีค่าเหมาะสมกับระยะการทำกำไร
เทรดยาว
หากมองภาพโดยรวมมันก็ไม่ได้ต่างจากการเทรดสั้น เทรดกลางเลย สิ่งที่ต่างคือระยะการทำกำไรที่มีจำนวนจุดที่มาก เช่นต้องการระยะการทำกำไรตั้งแต่ 1000 จุดขึ้นไป บางครั้งก็อาจมีระยะทำกำไรมากกว่า 5000 จุด แน่นอนต้องมีการถือออเดอร์นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และที่เห็นได้ชัดเจน เทรดยาว ก็ต้องเทรดในไทม์เฟรมที่มีระยะการขึ้นๆลงๆที่มีจำนวนจุดมากๆ เช่น MN หรือ W1
ข้อดีของการเทรดยาวก็คือมันจะเป็นการเทรดแบบตามเทรนด์ (Trend Following) หรือบางทีเรียกว่าเทรดแบบรันเทรนด์ การเทรดแบบตามเทรนด์จึงเป็นการเทรดที่ความได้เปรียบที่สูง เพราะเทรดตามแรงใหญ่ในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ หรือ สถาบันการเงิน หรือ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือ จากอะไรก็ได้ที่มีความสามารถในการผลักดันราคาให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่ต้องการของพวกเค้าได้ตามที่เค้าต้องการ เมื่อเราเทรดตารมแรงใหญ่ของตลาดเราย่อมได้เปรียบ เพราะราคามันจะวิ่งไปได้แรง และ ไปได้ไกล ระยะทำกำไรก็เลยสามารถทำระยะยาวๆมากๆได้ง่าย
สิ่งที่เป็นข้อดีของการเทรดยาวก็คือ สามารถเปิด lot size ต่ำสุดได้ เช่นเปิด Lot size ที่ 0.01 แต่สามารถทำกำไรหลักมากกว่า $100 ได้ เพราะเราสามารถทำกำไรจากระยะจุด TP ที่มีจำนวนจุดมากๆได้ เมื่อสามารถเปิด lot size ต่ำๆได้ ความเสี่ยงก็น้อย เพราะสามารถกำหนดระยะค่าการสูญเสียได้ง่ายขึ้น เช่นระยะ SL ที่ 500 จุด ก็เสียแค่ $5 ที่ Lot size ค่า 0.01 เท่านั้นเอง
สไนเปอร์ (Sniper)
ความหมายก็ตรงตามชื่อคือ กลยุทธ์ของพลซุ่มยิง ที่อาศัยความอดทนเฝ้ารอ นานแค่ไหนก็จะอดทนรอ จนกว่าจะเจอโอกาสที่เปิดให้ลั่นไกยิงออกไป นัดเดียวจะต้องปิดเกมให้ได้ หากพลาดก็มีโอกาสซ้ำได้ไม่เกิน 2 หรือ 3นัด แค่นั้น เพราะหากนัดแรกยิงผิดพลาด เหยื่อก็ไหวตัวหลบทันไปแล้ว โอกาสของการยิงซ้ำจึงมีโอกาสได้ผลน้อย ทั้งหมดนี่คือนิยามของคำว่า สไนเปอร์ (Sniper)
เมื่อนำเอาหลักการของสไนเปอร์มาใช้ เราต้องเน้นความแม่นยำของออเดอร์ ด้วยการใช้ความอดทนรอโอกาส มันจึงไม่เหมาะกับการเอาไปเทรดสั้นเป็นแน่ หากไม่เข้าใจว่าเทรดสั้นคืออะไร เพราะเห็นคำว่า สไนเปอร์ก็เลื่อนมาอ่านทันทีเลยก็ต้องย้อนไปทำความเข้าใจเรื่องของเทรดสั้นก่อน
หากเข้าใจเรื่องของเทรดสั้น เทรดกลาง เทรดยาว เราก็จะมองออกว่ากลยุทธ์สไนเปอร์มันเหมาะสมกับการเทรดยาวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหากไปเล็งโอกาสที่ไทม์เฟรม MN หากยิงติดออเดอร์ดีๆซักออเดอร์ โอกาสการทำกำไรจะได้มากจนน่าตกใจจากการเทรดยาวในครั้งนี้ ชื่อกลยุทธ์นี้อาจจะตั้งใหม่เป็น เสือขย้ำเหยื่อ ก็ไม่ผิด เพราะเสือจะซุ่มรอเหยื่อแทบไม่หายใจ รอจนเหยื่อเผลอเข้ามาใกล้จากนั้นก็กระโจนตะครุบเหยื่อเพื่อปิดเกมการล่าให้จบเร็วที่สุด ดังนั้นเราจะใช้กลยุทธ์ชื่ออะไร เราก็ต้องเข้าใจความหมายของพฤติกรรมของชื่อนั้นก่อน เพราะมันเป็นแค่ชื่อจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านี้
Scalper
ความหมายของชื่อนี้ในการเทรดก็คือการการไล่เก็บกำไรเป็นรอบๆ อาจเป็นการไล่เก็บตามเทรนด์เป็นรอบสั้นๆ หรือ เก็บในช่วงการกลับตัวของแต่ละรอบ มันก็คือเทคนิคการเทรดสั้นหรือกลางนั้นเอง คือจบกำไรเป็นรอบๆไล่เก็บไปเรื่อยๆตามโอกาส
Swing Trade
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการไล่เก็บกำไรในจุดสวิง หรือ จุดกลับตัวของราคาในแต่ละรอบ เก็บกำไรรอบขาขึ้น จากนั้นก็เก็บกำไรรอบขาลง สลับกันไป จะเก็บในรอบเล็ก หรือ รอบใหญ่ ก็แล้วแต่ว่าจะใช้ไทม์เฟรมอะไร
Day Trade
ชื่อก็บ่งบอกความหมายไปในตัวแล้วว่ามันคือการเทรดทำกำไรรายวัน จะใช้กลยุทธ์อะไรก็ได้ที่เหมาะสมต่อการเก็บกำไรภายในวัน
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นการกล่าวในภาพรวมเท่านั้นรายละเอียดเชิงลึกนั้นมันมีหลากหลายวิธีการคงไม่สามารถนำมาเสนอให้ได้ครบถ้วนเป็นแน่ เช่นเทรดสั้น มันก็มีหลากหลายสัญญาณ หลากหลายไทม์เฟรม แล้วแต่ว่าใครถนัดแบบไหน ชอบไทม์เฟรมไหน ชอบสัญญาณอะไร เราต้องค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เพราะตัวเราจะรู้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ
https://topindy.com/forum/method
ความคิดเห็นล่าสุด