โครงสร้างพื้นฐานของงานเทรด
สำหรับท่านที่อ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดเท่านั้น
มือใหม่ หรือ แม้กระทั้งมือเก่าจำนวนไม่น้อยที่ยังมองโครงสร้างของงานเทรดไม่ถูกต้อง ส่งผลงานเทรดไม่ประสบความสำเร็จ และ ก็มีเทรดเดอร์อีกจำนวนหนึ่งที่รู้ว่าโครงสร้างของงานเทรดที่ถูกต้องเป็นอย่างไรแต่ก็ไม่นำมาใช้งาน ด้วยเหตุผลเดียวเลยก็คือ ความไม่มีวินัย ไม่มีระบบแผนงาน ไม่มีระเบียบในการทำงาน หากขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะทำธุรกิจใด งานใด โอกาสจะประสบความสำเร็จยากมาก หรือ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็เป็นไปได้สูง
งานเทรดเป็นธุรกิจหนึ่งที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ ที่มีข้อดีตรงที่ไม่มีคู่แข่งขันในตลาด ขอแค่มองตลาดให้ออก หาจังหวะให้เป็น แค่นี้ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยลงไปแล้ว ความจริงของงานเทรดก็คือ งานที่ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ เราต้องคอยต่อสู้กับความโลภของเราเอง เพื่อไม่ให้เกิดการโอเว่อร์เทรดจนกลายเป็นล้างพอร์ต เมื่อขาดทุนติดๆเรามักจะเกิดความแค้น ต้องการแก้แค้นเอาคืน หากเราควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ เราก็จะใช้อารมณ์แค้นในการเทรด ซึ่งเป็นที่มาของการล้างพอร์ตในทุกๆครั้ง
ลำดับความสำคัญของงานเทรด
70% คือการบริหารความเสี่ยง และ การบริหารความโลภ
30% คือเทคนิคการเทรดด้วยสัญญาณ หรือ รูปแบบกราฟ ต่างๆ
หากย้อนกลับไปถามตนเองว่าที่ล้างพอร์ตมาทุกๆครั้งได้มีการใช้กลไกการบริหารความเสี่ยงที่ดีหรือไม่ คำตอบน่าจะไม่ได้ใช้การบริหารความเสี่ยงเลย เอาเป็นว่าที่ล้างพอร์ตกัน 99% ไม่มีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีคุณภาพ หากเราใช้การบริหารความเสี่ยง+การบริหารความโลภ ที่ถูกต้องทุกๆครั้งในการเทรด ต่อให้เข้าออเดอร์มั่วๆ เพราะมันมีแค่ Buy กับ Sell เท่านั้น (เหมือนการพนันหัวก้อย) โอกาสที่จะล้างพอร์ตยังอีกนาน หรือ อาจจะไม่ล้างพอร์ตถ้าพอมองเทรนด์ออก แต่พอร์ตอาจจะไม่โต อาจจะกำไรเล็กน้อย ขาดทุนเล็กน้อย สลับไปมา จะเห็นได้ว่า ใครบริหารความเสี่ยง+บริหารความโลภ ได้ดีโอกาสที่จะทำกำไรต่อเนื่องก็จะมีโอกาสมาก ดังนั้น “งานเทรดคืองานบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่งานบริหารกำไร เพราะกำไรเราควบคุมไม่ได้ แต่ความเสี่ยงเราสามารถควบคุมได้ตั้งแต่เริ่มเปิดออเดอร์”
การทำกำไรมีกี่แบบ
ในการเทรดหาเราใช้โครงสร้าง 70% กับ 30% มันจะเหมือนรูปแบบการลงทุนที่ตัวเลขกำไรจะค่อยๆเติบโต อย่างมั่นคง แต่ก็มีเทรดเดอร์บางส่วนที่มีประสบการณ์สูง มีความทักษะความชำนาญเป็นเยี่ยม ก็จะใช้สัดส่วนที่แตกต่างออกไป อาจเป็น 50/50 หรือ สัดส่วนอื่นๆ โดยใช้หลัก High Risk High Return คือยอมเสี่ยงสูงเพื่อให้ได้ตัวเลขกำไรสูง โดยการเปิด Lot position ที่ใหญ่ เพราะมั่นใจในเทคนิคและสัญญาณที่ใช้เทรด ซึ่งเทคนิคนี้ถือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวส่วนบุลคล ที่คนส่วนใหญ่ยากที่จะเลียนแบบได้
เทรดท่ายาก หรือ เทรดท่าง่ายดี
ไม่ว่าจะเทรดท่านแบบไหน มันก็มีความสำคัญอยู่ที่ 30% หากเราเทรดตามหลักการที่ปลอดภัยเน้นการเติบโตของพอร์ตแบบมั่นคง สัดส่วนของกำไรก็จะตามจำนวนเงินลงทุน เช่นเงินลงทุน 1,000,000 บาท (1 ล้านบาท) ยอมเสี่ยง 1% ก็คือ 1 หมื่นบาท กำไร 1:2 หรือ 2 เท่าของความเสี่ยง ก็คือ 2% ก็จะเท่ากับ 2 หมื่นบาท จะเห็นได้ตลอดว่าทำไมนักลงทุนมืออาชีพรายใหญ่ๆจึงใช้ความเสี่ยงแค่ 1-2% เท่านั้นเอง เพราะจำนวนเงินทุนมีจำนวนมาก หากเรามีเงินลงทุน 1,000 บาท ความเสี่ยง 1% ก็คือ 10 บาท กำไรสองเท่าก็คือ 20 บาท ซึ่งใช้เปอร์เซนต์ความเสี่ยงเท่ากัน แต่ตัวเลขกำไร ขาดทุน แตกต่างกัน ทำให้พอร์ตที่มีเงินทุนน้อยๆมักจะเทรดเชิงบู้เพื่อให้ตัวเลขกำไรมากขึ้น โดยใช้ใช้ความเสี่ยงสูง หรือ อาจไม่มีระบบจัดการความเสี่ยงเลย และ มักจบด้วยการล้างพอร์ต
สำหรับคนที่มีวิธีคิดและวางแผนที่ดี ก็จะใช้การเทรดแบบความเสี่ยงต่ำสะสมกำไรน้อยๆไปเรื่อยๆ ลองนึกดูว่า 1 ปีผ่านไป กำไรอาจจะไม่ได้เยอะอะไรมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นกำไรที่มีมูลค่ามากเกินกว่าที่คิดก็คือ ประสบการณ์ที่ดี เทคนิคการเทรดที่ดี ที่สามารถประคับประคองพอร์ตให้เติบโตได้ในระยะต่อเนื่อง 1 ปี คราวนี้จะเติมเงินเพิ่มในพอร์ตก็ไม่ใช่ปัญหาเสี่ยงอีกแล้ว เพราะเรามีระบบการเทรดที่ดีรองรับอยู่แล้ว
ในเมื่อเรารู้ดีว่าสัญญาณมีความสำคัญเพียง 30% เราจะทำให้งานเทรดมันยากไปทำไม ทำไมไม่ทำให้มันเรียบง่ายล่ะ เพราะมันทำได้อยู่แล้ว มืออาชีพจำนวนมากใช้แค่เส้นค่าเฉลี่ยเพียงเส้นเดียวก็ยังเทรดทำกำไรได้ มันก็เส้นค่าเฉลี่ยที่เรามีใน MT4 นั้นแหละตัวเดียวกันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่ากัน ถามตัวท่านก่อนว่าท่านใช้งานเส้นค่าเฉลี่ยได้ดีแค่ไหน ก่อนที่จะปฎิเสธในการใช้งานมัน มันเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ถูกใช้งานมากที่สุดตัวหนึ่งในโลก มันมีอะไรเด็ดๆดีๆอยู่ในตัวมัน ทั้งความเรียบง่ายในการใช้งาน มันยังบอกถึงเทรนด์ได้เป็นอย่างดีแถมเป็น Dynamic trends เสียด้วย ต่างจากแนวรับแนวต้านทั่วๆไป หากสังเกตุเป็นมันยังใช้คาดการณ์โมเมนตัมของราคาได้อีกด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเส้นค่าเฉลี่ยโดยตรง โดยดูจากราคาที่วิ่งฉีกห่างออกจากเส้นค่าเฉลี่ยไปมากๆแล้วค่อยๆย้อนกลับคืนเข้าหาเส้นค่าเฉลี่ย แถมยังใช้ดูสภาพการเกิดไซด์เวย์ได้อีกด้วย เมื่อแท่งราคาวิ่งทับเส้นค่าเฉลี่ยต่อเนื่อง ใช้หาจุดเข้าออเดอร์เมื่อแท่งราคาวิ่งกลับเข้าไปทดสอบที่เส้นค่าเฉลี่ยจากการ Pullback หรือ Rebound
จะเห็นได้ว่าแค่เครื่องมือตัวเดียวก็สามารถใช้งานในการเทรดได้เป็นอย่างดี มันขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งานมากกว่าว่าเข้าใจวิธีใช้งานเครื่องมือได้ดีแค่ไหน ทุกๆเครื่องมือที่มีใน MT4 มันใช้งานได้ดี และ ทำกำไรได้ทั้งหมดแหละ หากเราเข้าใจหลักการใช้งานของมัน มันอาจมีความแตกต่างกันบ้างในความสามารถเฉพาะตัวเช่น บางตัวเน้นเรื่องของโวลลุ่มซื้อขาย เมื่อเราจะใช้เครื่องมือพวกโวลลุ่มในการเทรดเราก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมของกราฟราคาที่แสดงออกมาว่าโวลลุ่มที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดจากเทรดเดอร์รายย่อย หรือ เทรดเดอร์รายใหญ่พวกสถาบัน หรือ กองทุนต่างๆ กราฟราคามันจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว จะแม่นยำหรือไม่มันอยู่ที่ตัวเราเข้าใจหลักการโวลลุ่มดีแค่ไหน
มือใหม่ส่วนใหญ่ รวมถึงมือเก่าจำนวนไม่น้อย ที่เลือกใช้เครื่องมือย้อนแย้งกับความสามารถของตนเอง มักจะเลือกใช้เครื่องมือตามกระแสนิยม ที่ได้ยินได้อ่านมา โดยลืมไปว่ามันไม่ได้เหมาะสมกับความสามารถพื้นฐานของเราเลย ผลก็คือทั้งขาดทุน ทั้งเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะพื้นฐานไม่แน่นพอ ไปยังไงๆก็ไปไม่สุดแน่นอน การหันมายอมรับตัวเองว่ามีพื้นฐานแค่ไหน แล้วเลือกหาเครื่องมือที่เรียบง่ายเหมาะกับความสามารถที่มีอยู่ ณ.ตอนนั้น พยายามศึกษา สังเกตุ และ ทดสอบการใช้งานเครื่องมือนั้น จนเกิดความชำนาญ องค์ความรู้ที่ได้มันจะสามารถนำไปต่อยอดในการใช้เครื่องมือที่ยากขึ้นได้โดยไม่ลำบาก ส่งผลดีต่อการพัฒนาการเทรดเป็นอย่างมาก
เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับความสามารถที่มีอยู่ก่อน อย่าพึ่งรีบไปเกินความสามารถ อย่าไปตามคนอื่น ไม่ต้องไปไล่ดูหรอกตัวเลขโชว์กำไรของคนอื่นๆ เพราะวงการเทรด Forex มันทำกำไรได้จริงๆอยู่แล้ว ตลาด Forex มันเกิดขึ้นมามากกว่า 50 ปีแล้ว ตัวเลขกำไรสวยๆที่เราไปเห็น มันไม่ได้ช่วยอะไรเราได้เลย แทนที่จะเป็นกำลังใจ กลับกลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดความโลภกลายเป็นร้ายต่อพอร์ตการลงทุน พยายามอยู่กับตนเองให้มาก ค้นหาความสามารถของตนเองให้เจอ แล้ว เปิดใจยอมรับมัน อย่าโกหกตัวเอง พยายามพัฒนาเทคนิคที่ใช้ให้ได้ผลสูงสุด มันไม่มีหรอกครับที่เริ่มลงมือแล้วมันได้ผลเลิศ ที่ได้ผลมันก็แค่พลุ๊คเท่านั้น จะได้ผลหรือไม่ได้ผลต้องวัดกันในระยะยาวว่า สัดส่วนกำไรต้องมากกว่าขาดทุน นั้นแหละถึงจะบอกได้ว่าได้ผลหรือไม่
เทรนด์ (Trend) คือหัวใจหลักของการเทรด
เทรนด์หรือแนวโน้ม ในตลาด Forex จะมีรูปแบบเทรนด์อยู่ 3 รูปแบบคือ
เทรนด์ขาขึ้น (Up trend)
เทรนด์ขาลง (Down trend)
เทรนด์แบบไซด์เวย์ (Sideway)
ความหมายก็บ่งบอกอยู่แล้ว หากยังไม่เข้าใจก็สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากสื่อต่างๆในอินเตอร์เน็ตมีให้เลือกศึกษามากมาย ในบทความนี้จะขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในเชิงวิชาการที่หาได้จากแหล่งต่างๆ แต่จะเอาเฉพาะปัญหาและอุปสรรคมากล่าวเป็นประเด็นหลัก หากเรามองเห็นปัญหาและหาวิธีแก้ไขปัญหาได้แล้ว เรื่องสวยงาม เรื่องพอร์ตฟ้า มันจะตามมาเอง มันไม่ใช่สาระที่ต้องไปเสียเวลากับเรื่องพอร์ตฟ้า ให้โฟกัสไปที่ปัญหาเป็นประเด็นหลักแล้วทุกอย่างจะดีเอง
ตลาด Forex มีข้อดีตรงที่เราสามารถเทรดได้ทั้งตลาดเป็นขาขึ้น (Buy) หรือ ตลาดเป็นขาลง (Sell) เทรนด์มันคือแนวโน้นของแรงซื้อขายที่เกิดขึ้นในตลาด ณ.ช่วงเวลานั้น การเทรดที่ดีเราควรเน้นเทรดตามแรงหลักของตลาด พยายามเลี่ยงการเทรดสวนเทรนด์ (Reversal trend) เพราะมันมีความเสี่ยงหากเราดูโครงสร้างของตลาด (Market structure) ไม่ออก การเทรดตามเทรนด์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ราคามักจะวิ่งไปตามเทรนด์ได้ไกล และ แรง ทำให้มีโอกาสเก็บระยะการทำกำไร (Take profit) ได้เป็นอย่างดี
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
ไทม์เฟรม (Time frame) คือตัวกำหนดระยะของการทำกำไร
มักจะมีคำถามเสมอว่าเทรดไทม์เฟรมไหนดีที่สุด เป็นคำถามที่ถูกถามมากที่สุดเป็นอันดับแรก หากมองเรื่องของไทม์เฟรมไม่ออก มันจะเป็นอันตรายต่อการเทรดเป็นอย่างมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับ ความเสี่ยง และ กำไร โดยตรง หากยังนึกภาพไม่ออกขออนุญาตยกตัวอย่างดังนี้
มีโจทย์ว่า ให้ขี่จักรยานเสือภูเขาไล่เก็บที่วางอยู่เป็นระยะๆ เงินตามเส้นทาง ซึ่งเป็นภูเขา โดยมีภูเขา 2 แบบให้เลือกคือ
ภูเขาลูกเล็กๆที่เรียงต่อกัน ขึ้นเร็วลงเร็ว ไปเรื่อยๆ (ไทม์เฟรมเล็ก)
ภูเขาลูกใหญ่ๆที่เรียงต่อกัน ขึ้นนานลงนาน ไปเรื่อยๆ (ไทม์เฟรมใหญ่)
ภูเขาลูกเล็กระยะการไล่เก็บเงินก็สั้น ขาลงพอจะสบายหน่อยก็ลงได้ไม่นาน ก็ต้องออกแรงขึ้นอีกครั้ง
ภูเขาลูกใหญ่ระยะทางในการไล่เก็บเงินก็ยาว สามารถเก็บจำนวนเงินได้มาก อาจออกแรงตอนขาขึ้นนานหน่อยแต่ก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ ขาลงก็ได้พักนานเพราะระยะทางยาว
เราจะเห็นว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันชัดเจน แต่ในงานเทรดมันจะมีความแตกต่างที่มากกว่าตัวอย่าง เพราะเมื่อระยะทำกำไรสั้นๆในไทม์เฟรมเล็ก เราต้องควบคุมความโลภให้ดี เพราะระยะสั้นๆไม่กี่จุด จำเป็นต้องออก Lot position ที่ใหญ่ เพื่อให้กำไรต่อจุดมีตัวเลขกำไรสูง แต่หากผิดทางมันก็จะกลายเป็นการขาดทุนสูงเช่นกัน ตรงนี้ที่เรียกว่าความเสี่ยงสูงในการเทรดไทม์เฟรมเล็ก
สำหรับไทม์เฟรมใหญ่ระยะทำกำไรยาวเพราะได้จำนวนการเคลื่อนที่ของราคา(จุด)มาก ก็ไม่จำเป็นต้องออก Lot position ที่ใหญ่ ตัวเลขกำไรอาศัยระยะการเคลื่อนที่ของราคาที่ยาว ตามลักษณะของไทม์เฟรม ความเสี่ยงของการขาดทุนจึงต่ำ
สมมุติเปิด Lot position ค่า 0.01 มันก็คือราคาของการเคลื่อนที่ต่อจุด ก็จะได้จุดละ $0.01 นั้นเอง วิ่งไป 100 จุดก็จะเท่ากับ $1
หากเปิด Lot position ค่า 0.1 มันก็คือราคาของการเคลื่อนที่ต่อจุด ก็จะได้จุดละ $0.1 นั้นเอง วิ่งไป 100 จุดก็จะเท่ากับ $10
หากเปิด Lot position ค่า 1 มันก็คือราคาของการเคลื่อนที่ต่อจุด ก็จะได้จุดละ $1 นั้นเอง วิ่งไป 100 จุดก็จะเท่ากับ $100
จากตัวอย่างก็จะเห็นว่า ราคาวิ่งไป 100 จุด แต่ตัวเลขที่ได้ต่างกัน หากวิ่งเป็นกำไรเปิด Lot position สูงก็ได้กำไรมาก แต่หากขาดทุนก็จะขาดทุนมาก
หากเลือกเทรดสั้นในไทม์เฟรมเล็ก หากเปิด Lot position น้อยๆส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบเพราะ 100จุด ได้แค่ $1 เอง นี่คือปัญหาใหญ่เพราะความโลภ ก็มักจะเลือกเปิด Lot position ใหญ่ขึ้น หากเงินทุนในพอร์ตมีมากอาจแพ้ได้หลายครั้งกว่าจะล้างพอร์ต แต่หากเงินทุนในพอร์ตน้อยแพ้ไม่กี่ครั้งก็ล้างพอร์ตแล้ว
ดังนั้นจึงสรุปเรื่องของไทม์เฟรมได้ดังนี้
เทรดไทม์เฟรมใหญ่เหมาะสำหรับพอร์ตเงินทุนน้อย เพราะเปิด Lot position เล็กๆได้ เพราะระยะทำกำไรยาว
เทรดไทม์เฟรมเล็กเหมาะสำหรับพอร์ตเงินทุนมากๆ เพราะต้องเปิด Lot position ที่ใหญ่ เนื่องจากระยะทำกำไรน้อย
มาถึงตรงนี้จะมองเห็นภาพได้ว่าหัวใจหลักของการเทรดคือการ วางแผนการใช้ไทม์เฟรมให้ถูกต้องและเหมาะสมกับเงินทุนในพอร์ต เลือกเทรดตามแนวโน้มเพื่อลดความเสี่ยง แค่เรามองตรงนี้ออก วางแผนเทรดได้เหมาะสม โอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อยลงไปมาก (เราจะไม่พูดถึงกำไร เพระาหากเราควบคุมการขาดทุนได้ กำไรจะตามมาเอง) นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องของสัญญาณมาเกี่ยวข้องเลย เราก็มองเห็นช่องทางโอกาสของการทำให้พอร์ตเติบโตได้แล้ว สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย เพียงแต่คนส่วนใหญ่มองข้าม หรือรู้ แต่ไม่ให้ความสำคัญ แต่กลับไปเลือกให้ความสำคัญกับสัญญาณมากเกินความจำเป็น ผลก็คือพอร์ตไม่เติบโตต่อเนื่อง ได้กำไรมามากมายแบบตกใจไม่คิดว่าจะได้กำไรมากแบบนี้ แต่ต่อมาก็เสียกลับคืนไปจนหมด แถมยังติดลบขาดทุนเสียอีก เพราะเทรดด้วยแผนงานที่ย้อนแย้งผิดหลักการ
เลือกใช้เครื่องมือไหนบ้างในการเทรด
สำหรับระบบเทรด Super High Profit Tools จะมีเครื่องมือถึง 32 เครื่องมือ โดยเครื่องมือส่วนหนึ่งเป็นเครื่องมือที่มีในโปรแกรม MT4 โดยผู้พัฒนาได้คัดเอาเฉพาะเครื่องมือยอดนิยมที่ทั่วโลกนิยมใช้งานนำมาใส่ในระบบเทรด โดยเครื่องมือตัวเดียวกันกับ MT4 แต่มีความแตกต่างกันคือได้พัฒนาให้สามารถปรับแต่งค่าการแสดงผลหรือค่าการทำงานบางอย่างให้สะดวกและคล่องตัวมากกว่าเครื่องปกติใน MT4 อีกทั้งยังมีเครื่องมือพิเศษที่ MT4 ไม่มีที่จะช่วยให้งานเทรดสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับมือใหม่ ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการใช้งาน และ ลดความสับสนลงไปได้มาก
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าความแม่นยำของเครื่องมือนั้นมันอยู่ที่ตัวผู้ใช้งานเครื่องมือเป็นตัวสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเครื่องมือ ดังนั้นทางที่ดีควรขจัดความคิดที่ว่าอยากหาเครื่องมือหรือสัญญาณแม่นๆเอาไปทำกำไรในการเทรดออกไปจากสมองได้เลย จะได้ไม่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ จะได้เอาเวลาไปฝึกฝนการใช้เครื่องมือที่เลือกให้ชำนาญเพื่อให้เกิดความแม่นยำขึ้นมาตามลำดับ
ตามที่กล่าวมาข้างต้น เทรนด์ หรือ แนวโน้ม เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด ดังนั้นเราควรเลือกใช้เครื่องมือที่ตรงกับหัวใจการเทรดจริงๆจะทำให้เครื่องมือที่ใช้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเทรด หลักการเลือกใช้งานเครื่องมือมีดังนี้
เครื่องมือเกี่ยวกับเทรนด์หรือแนวโน้ม เช่น เส้นค่าเฉลี่ย ,เส้นเทรนด์ไลน์ ,Bollinger Bands ,Heiken Ashi และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ตามที่ชอบและถนัด
เครื่องมือเกี่ยวกับโมเมนตัม (Momentum) หรือ จุดเปลี่ยนของแรงซื้อขาย หรือ จุดอิ่มตัวของราคา เพื่อใช้คาดการณ์จุดที่ราคาจะเปลี่ยนจากซื้อไปขาย หรือ จากขายไปซื้อ เครื่องมือเกี่ยวกับโมเมนตัมจะอยู่ในหัวข้อ Oscillators เครื่องมือโมเมนตัมอินดิเคเตอร์ที่มากับ MT4 ก็มีตัว Momentum indicator ให้มาแต่มันดูยากสำหรับมือใหม่ เราสามารถเลือกเครื่องมืออื่นๆเช่น MACD ,Awesome oscillator ,RSI ,Stochastic และเคร่ืองมืออื่นๆ สามารถเลือกได้ตามความชอบและถนัด
หลักๆในการเทรดก็จะมีเครื่องมือ 2 ประเภทนี้ที่มีความสำคัญต่องานเทรดมากที่สุด เพราะเทรนด์คือแรงหลักของตลาด ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง มันก็จะมีแรงสวนทางเสมอแต่ระยะแรงสวนทางจะสั้นกว่าแรงหลัก เมื่อราคาวิ่งตามเทรนด์ไประยะก็จะเกิดการอิ่มตัวเป็นรอบๆหรือรอบย่อยในเทรนด์ใหญ่ ซึ่งเป็นการทำกำไรเป็นระยะๆตามหลักจิตวิทยาของเทรดเดอร์นักเก็งกำไรอยู่แล้ว เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในตลาดจะไม่ถือยาวๆต้องแบ่งส่วนที่ถือไว้ออกมาทำกำไรเป็นรอบๆ ตามพฤติกรรมวิสัยของนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
เลี่ยงการเปิดออเดอร์สดๆ ควรใช้ Pending order ในการเทรด
มือใหม่ส่วนมากมักจะยังไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ อ่านเกมยังไม่ขาด ความรอบคอบและรู้เท่าทันสถานการณ์ของตลาดยังมีน้อย โอกาสพลาดจึงมีสูง การเปิดออเดอร์แบบสดๆจึงควรเสี่ยงสูงมากสำหรับมือใหม่ และเทรดเดอร์จำนวนมากทีเดียวที่ใช้การเทรดแบบ Pending order เป็นเทคนิคหลัก เพราะเป็นการเทรดที่ไม่กดดัน มีโอกาสพิจารณาในจุดที่จะวางออเดอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และ ยังสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขตำแหน่งการวางออเดอร์ได้ตลอดตราบใดที่ออเดอร์ยังไม่ถูกเปิด
สำหรับผู้เขียนจะใช้การเทรดด้วย Pending Order มาโดยตลอด ซึ่งปกติจะตื่นนอนช่วงตีสามครึ่ง หลังจากออกจากห้องน้ำก็จะนั่งจิบกาแฟดูกราฟของคู่เงินต่างๆ และจดบันทึกใส่สมุดไว้ ในช่วงก่อนตีสี่ตลาดนิวยอร์กยังไม่ปิด เราจะเห็นราคาก่อนตลาดปิดได้เป็นอย่างดีในคู่ที่มีสกุลเงิน USD หรือ แม้แต่ตลาดทองคำ จริงๆ ตีห้า ถึงช่วงประมาณไม่เกินเจ็ดโมงเช้าก็ดูได้เช่นกัน เพราะตลาดเอเชียพึ่งเปิดราคายังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เราสามารถคาดการณ์จุดวาง Pending order ได้ดีพอสมควร บางคู่อาจวาง Pending order ทั้ง Buy และ Sell รอไว้ในกรณีเทรดสั้นๆ แบบจบภายในวัน ส่วนการเทรดยาวนั้นใช้วิธีวางออเดอร์ในบริเวณ Demand หรือ Supply หรือ แนวรับแนวต้านใหญ่ที่ีมีนัยยะสำคัญทางราคา จะวาง Pending order ในช่วงเวลาไหนก็ได้เพราะไม่รีบ เนื่องจากใช้ไทม์เฟรมใหญ่ แต่หากมีการวางแผนช่วงสิ้นเดือน หรือ ต้นเดือน เรามักจะได้เห็นช่วงที่ราคามีการเปลี่ยนแปลงที่แรงๆได้บ่อยๆ เมื่อวาง Pending order เสร็จแล้วก็ปิดเครื่องได้เลย เพราะเราไม่ต้องไปรอลุ้นว่าราคาจะไปทิศทางไหน เหมือนการเปิดออเดอร์สดๆที่มักจะลุ้นการเคลื่อนที่ของราคา ทำให้เสียเวลางาน เสียเวลาในชีวิตประจำวัน ยิ่งเห็นการติดลบยิ่งเครียดไม่ส่งผลดีต่องานเทรดเลย การเทรดด้วย Pending order จึงเป็นเทคนิคการเทรดที่สบายๆไม่เครียด ไม่กังวล
คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อขยาย
หากมือใหม่ท่านใดอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอแสดงความยินดีด้วย ว่าท่านคือบุคคลที่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำสูงมาก ขออวยพรให้ท่านจงประสบความสำเร็จโดยเร็ว และขอให้ระลึกไว้เสมอว่า “อุปสรรคคือบทเรียนที่สูงค่า คือคุณครูที่น่ารัก“
ความคิดเห็นล่าสุด