ทัศนคติคือหัวใจของการทำกำไรที่ยั่งยืน

เป็นการจั่วหัวข้อที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลยสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จคือคนกลุ่มน้อยที่มองเห็นวิธีสร้างความร่ำรวยที่ยั่งยืน มันจึงไม่แปลกที่เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจที่จะเปิดใจเรียนรู้จริงๆจังๆ การก้าวไปสู่ความสำเร็จในงานต่างๆ มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินงานด้วยพื้นฐานที่ถูกต้องเพื่อเป็นสะพานทอดไปสู่ความสำเร็จ

จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เป็นคนแก่ธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณในแบบที่ได้ออกแบบไว้ก่อนเกษียณ ผ่านอาชีพ ผ่านโลกมามากมาย และได้พบว่า อาชีพเทรดเดอร์ที่อาชีพที่มีโอกาสอยู่ใกล้กับความร่ำรวยมากที่สุด สามารถสร้างความร่ำรวยได้ในระยะสั้น 1-2 ปี ก็ร่ำรวยหลักล้านได้แล้วโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำมาก หากเปรียบกับงานอื่นๆ การจะสามารถทำกำไรหลักล้านได้ใน 1-2 ปี จะต้องใช้ต้นทุนที่สูงมากๆ หากมีเงินทุน 1 หมื่นบาท แล้วจะให้สร้างเงินหลักล้านใน 1-2 ปี อาชีพอื่นๆทำได้ยากมากหรือไม่สามารถทำได้ในกรอบเวลา 1-2 ปีได้เลย

แต่อะไรก็ตามที่มันมีมุมที่ดูสวยงามเหลือเกินมันก็ย่อมมีมุมที่เป็นด้านลบเช่นกัน ในงานเทรดเงินทุน 1 หมื่นบาท หากบริหารจัดการดีๆ มีการจำกัดความเสี่ยงที่เหมาะสม มีการวางแผนการสร้างความได้เปรียบในการทำกำไร ไม่โลภมาก มีความเยือกเย็น ใจนิ่ง และ มีสติมีความรอบคอบ และ มีระเบียบในการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ทำงานย้อนแย้งมั่วไปมา โอกาสที่พอร์ตจะเติบโตก็มีโอกาสสูงมากๆ

แต่ปัญหาสำคัญที่ทำไมคนส่วนใหญ่เทรดแล้วขาดทุนซ้ำซาก เติมเงินจนนับครั้งไม่ถ้วน พอร์ตยุบๆพองๆ ไม่เคยโตแบบต่อเนื่อง ได้กำไรมามากก็เสียกลับคืนไปมาก หรือ เสียไปทั้งหมดในเวลาต่อมา สาเหตุพวกนี้มันมาจากการทำงานแบบไม่มีขั้นตอน ทำงานตามใจฉันเป็นหลัก จะเปิดออเดอร์แต่ละครั้งก็คิดเอาเอง ไม่ได้วางแผนคำนวณว่าจะจำกัดความเสี่ยงไว้เท่าไหร่ มักจะคิดเองเป็นหลัก เมื่อราคาจะชน SL ก็เลื่อน SL หนีออกไปเรื่อยๆ ยอมติดลบ

เพราะคิดเองว่าเดี๋ยวราคามันก็กลับคืนมา พอพอร์ตจะรับไม่ไหวก็ต้องรีบเติมเงินเข้าพอร์ตเพื่ออุ้มพอร์ตไว้ บางคนทุนไมดพอร์ตก็แตก บางคนโชคดีที่ราคามันกลับคืนมาหลังติดลบหนักมาก พอมีกำไรไม่กี่เหรียญก็รีบปิดออเดอร์กลัวว่าราคามันจะย้อนกลับไปติดลบอีก แต่พอปิดออเดอร์ไปราคามันก็วิ่งไปต่อ จะเปิดออเดร์ตามน้ำก็ไม่กล้าเพราะพึ่งจิตตกมาสดๆร้อนๆ สุดท้ายราคามันก็วิ่งไปในทิศทางที่ทำกำไรไปอีกยาวไกล ได้แต่นั่งมองด้วยความเสียดาย การเทรดลักษณะนี้มันรูปแบบการพนันชัดๆ

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่างานเทรดเป็นงานลงทุนต่ำ แต่กำไรสูง มันหายากมากสำหรับอาชีพที่จะสามารถทำกำไรมากๆ ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ต้องมีถึง 1 หมื่น ก็ยังทำได้เลย เช่นค่าสมัครสอบกองทุน $10,000 ค่าสมัครก็ไม่ถึง 3 พันบาท หากสอบผ่านเราก็จะได้พอร์ตเงินจริงมาเทรดถึง $10,000 หรือ ประมาณ 3 แสนบาท หากมองจุดนี้มันคือทางลัดไปสู่ความร่ำรวยเห็นๆ

แต่การจะสอบผ่าน การจะรักษาพอร์ตกองทุนให้คงอยู่ไม่โดนปิดไป หัวใจหลักด่านแรกเลย มันไม่ได้อยู่ที่ต้องมีสัญญาณแม่นๆ เทรดเดอร์ที่เข้าออเดอร์แม่นๆหลายๆคนก็ไปไม่รอดในระยะยาว เพราะแพ้ความโลภ พอได้กำไรมากๆก็จัดหนักเปิด Lot ใหญ่กะฟันกำไรก้อนใหญ่ แต่กลายเป็นพลาดล้างพอร์ตไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นความแม่นยำมันจึงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความร่ำรวยที่แท้จริงได้

แต่ปัจจัยที่สำคัญสูงสุดของความร่ำรวยในการเทรดก็คือ ทัศนคติ (Attitude) ซึ่งหมายถึง ความรู้ และ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่องานที่ทำ มันจะทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า อะไรสำคัญมากก็ต้องทำก่อน อะไรสำคัญน้อยก็ทำทีหลัง แต่หากเราขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเราก็มักจะไปทุ่ทเทเวลากับลำดับความสำคัญน้อย เช่นรู้อยู่ว่า MM สำคัญต่องานเทรด แต่ไม่ทำไม่ใส่ใจเพราะมันขัดใจตัวเองไม่สนุก แต่เอาเวลาไปนั่งจ้องสัญญาณอินดิเคเตอร์ต่างๆเพื่อกดเข้าออเดอร์ หากทำแบบนี้โอกาสที่จะร่ำรวยจากงานเทรดจะไม่มีเลย

ทัศนคติ มันครอบรวมทั้งเรื่องของการบริหารจัดการเงินทุน และ ความเสี่ยง มันก็คือการทำงานแบบวางแผนเพื่อการเติบโตในอนาคต ไม่ใช่เทรดไปวันๆแบบไม่ได้วางแผนอนาคตเลย มีแต่ผันว่าอนาคตจะต้องร่ำรวย แต่การกระทำมันไม่ใช่มันก็เลยเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ทัศนคติมันยังรวมไปถึงเรื่องของการใช้งานเทคนิคอลในการเทรด แต่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไรก่อน และ เครื่องมืออะไรตามหลัง เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น ก่อนจะทำการเข้าออเดอร์ต้องเปิดกราฟในไทม์เฟรมใหญ่ก่อน ใช้เครื่องมือที่ช่วยมองหาโซนที่มีนัยยะสำคัญก่อนเพื่อหาว่าแนวโน้มหลักของตลาดจะมีแรงไปได้นานแค่ไหน แล้วค่อยย่อไทม์เฟรมลงไปเล็กๆ และ ใช้เครื่องมือที่จะบอกสถานะของราคาปัจจุบันว่าควรเข้าออเดอร์ตรงไหน เป็นต้น ไม่ใช่เปิดกราฟปุ๊บก็เลือกไทม์เฟรมที่จะเข้าออเดอร์เลย เปิดเครื่องมือมาดูเส้นต่างๆวิ่งขึ้นลง แล้วเข้าออเดอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และ วิธีการแบบนี้ก็มีคนจำนวนมากที่ยังทำอยู่

คนที่จะประสบความสำเร็จใจการเทรดได้ จะต้องมีทัศนคติแบบเทรดเดอร์มืออาชีพก่อนเท่านั้น คนที่จะรวยได้ก็ต้องมีชุดวิธีคิดหรือทัศนคติแบบคนที่เค้ารวยเอารวยเอา หากยังนอนดึก ตื่นสาย รีบตารีตาเหลือกไปทำงาน เลิกงานสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้จนดึก แต่อยากรวยซักวัน มันไม่มีทางจะรวยได้เลย หากไม่ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่หากยังไม่มีทัศนคติแบบคนรวยเงินที่ได้จากถูกรางวัลที่ 1 ก็อยู่ได้ไม่นานก็หมดไป ทัศนคติที่ถูกต้องจึงเป็นตัวชี้นำให้ไปสู่ความสำเร็จ

ความจริงของวงการเทรดอย่างหนึ่งก็คือมีคนแค่ 1% ที่รวยจากการเทรดนั้นคือพวกสถาบันกองทุนต่างๆที่เข้ามาเทรดทำกำไร อีก 9% คือคนที่มีวิธีการเอาตัวรอกในตลาดได้ดี มีทักษะและประสบการณ์ที่ดี รู้จักจังหวะเข้าเทรดทำกำไร รู้จักจังหวะเลี่ยงเข้าเทรด  และ อีก 90% คนเทรดเทรดเดอร์ที่เทรดแบบได้ๆเสียๆ หมุนเวียนเข้าๆออกๆในวงการเทรด เงินจากคนจำนวน 90% นี่แหละที่ถูกนำมาจ่ายให้กับคนกลุ่ม 10% ที่เทรดได้

เทคนิควิธีเทรดของคนกลุ่มน้อยที่ทำกำไรได้ต่อเนื่อง และ เทคนิคการเทรดของคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง มันหาดูได้ง่ายมากๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นความลับเลย ไม่ได้เกี่ยวกับ เคร่ืองมือ หรือ สัญญาณใดๆเลย หากคิดว่าถ้าไม่ใช้สัญญาณใดๆเลย คนที่เทรดกราฟเปล่าก็ไม่สามารถทำกำไรได้ซิ ซึ่งมันไม่จริงเลย ปัจจัยสำคัญมันคือเรื่องของการจัดการความเสี่ยง มืออาชีพจะออกแบบวางแผนจัดการความเสี่ยงไว้ก่อนเทรด จะออกออเดอร์กี่ไม้ แต่ละไม้จะยอมเสียเท่าไหร่ และ หากเทรดไม่พลาดจะได้กำไรขั้นต่ำเท่าไหร่ และ มีโอกาสทำกำไรก้อนโตได้ด้วย RR การเทรดถูกวางมาเป็นระบบ และ เทรดตามแผนแบบมีวินัยที่เคร็งครัด ไม่มั่ว ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ได้คือได้ เสียคือเสียตามระบบที่วางแผนไว้

หากเรายังก้มหน้าก้มตาจ้องจอเทรดแบบรัวๆ ออกออเดอร์ยาวเป็นหางว่าว ได้บ้าง เสียบ้าง ถ้าขาดทักษะการเทรดแบบนี้มาก่อน มันไม่ต่างจากการเล่นพนันเลย ลักษณะนี้พบเห็นได้ทั่วไปและมีจำนวนมาก ยิ่งไม่สนใจ MM ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะการทำ MM คือการวางแผนมองอนาคตข้างหน้าเป็นการเอาเงินต่อเงิน ให้ขยายโตขึ้นเรื่อยๆอย่างแบบระบบ ท่านเท่านั้นที่จะตอบตนเองได้ว่าที่เทรดอยู่ทุกวันนี้ใช้วิธีเทรดแบบคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มใหญ่

ระบบเทรดใดๆ หรือ สัญญาณใดๆ หรือ เครื่องมือใดๆ จะแม่นยำ มีประสิทธิภาพสูง ทำกำไรให้ได้ผลดี ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องด้วย หากขาดทัศนคติที่ถูกต้องระบบจะดีแค่ไหนก็จะไร้ประสิทธิภาพ และ ไม่ได้ผล หรือ ได้ผลน้อยมาก

หลักสำคัญของการเทรดทำกำไรแบบยั่งยืน

1. คุมความเสี่ยงให้ได้ ต้องรู้ว่าทุนมีเท่าไหร่ จะพลาดได้กี่ออเดอร์ ต้องออกแบบวางแผนตรงนี้ให้ได้ก่อน นี่คือหลักยึดสำคัญของการทำกำไรแบบยั่งยืน

2. อย่าเข้าเทรดเพื่อหวังชนะอย่างเดียวเราจะหลายเป็นคนโง่ในตลาดทันที เพราะผู้เล่นรายใหญ่จะทำรูปแบบกราฟล่อให้เราคิดว่าเข้าตรงนี้ชนะอย่างแน่นอน ให้เราเน้นตรงที่ว่าถ้าเทรดพลาดจะต้องควบคุมได้ภายใต้ความเสี่ยงที่เรากำหนดไว้ตามความเหมาะสมของพอร์ตการลงทุนที่มี

3. ทำความเข้าใจกฎของ Risk and Reward หรือ RR เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าไม่จำเป็นต้องเทรดชนะทุกครั้งก็สามารถทำกำไรได้สบายๆ

4. อย่าเอาสัญญาณต่างๆเป็นหลักยึด ให้เอากราฟราคาเป็นหลักยึด มองโครงสร้างราคาและโซนราคาให้ออก จะได้ไม่ไป Buy บนยอดดอย และ ไม่ไป Sell ใต้ก้นเหว ส่วนสัญญาณเอาไว้แค่ช่วยยืนยันกราฟราคาเท่านั้น

5. อย่าโลภความรู้เกินความสามารถของตนเอง ทุกๆเทคนิคในวงการไม่ว่าจะยากจะง่ายล้วนสามารถเทรดทำกำไรได้ทั้งนั้น มืออาชีพจำนวนมากก็เทรดแค่กราฟเปล่าๆ ไม่ได้มีเครื่องมือสัญญาณใดๆก็ยังทำกำไรได้ ดังนั้นควรเริ่มจับที่เทคนิคพื้นฐานเรียบง่ายซึ่งมันสามารถทำกำไรได้อยู่แล้ว แค่เส้นค่าเฉลี่ยเส้นเดียวยังทำกำไรได้เลย ถ้าเราเข้าใจมัน หากพื้นฐานเราไม่ดีไม่แน่น เราจะไปใช้เทคนิคขั้นสูงเกินความรู้เรา เราจะไปไม่รอด รู้เรื่องโน้นนิด รู้เรื่องนี้หน่อย รู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่ไปไม่สุดซักเรื่อง มันก็ไม่สามารถเอามาใช้ทำกำไรได้

6. มีแผนการเทรดร่วมกับเทคนิคที่ใช้งาน ไม่มีเทคนิคใดหรอกที่เอามาใช้งานแล้วได้ผลดีตลอดไป มันอาจได้ผลบางสถานการณ์ที่ตลาดเอื้อให้ทำกำไรได้ แต่พอตลาดเปลี่ยนไปก็กลายเป็นขาดทุน การมีแผนการเทรดที่ตายตัว เช่น จะต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้างในการเข้าออเดอร์ จะใช้หลักการอะไรในการกำหนด SL/TP และทำตามแผนอย่างเคร่งครัด การเทรดของเราจะไม่มั่ว เพราะเรามีเงื่อนไขในการเทรด เมื่อพลาดมันจะทำให้เรารู้ว่า เงื่อนไขแบบนี้ไม่สามารถใช้กับสถานการณ์แบบนี้ได้ และ สามารถทำกำไรได้กับสถานการณ์แบบนี้ แผนการเทรดด้วยเทคนิคที่ใช้ก็จะถูกปรับปรุงไปเอง จนกลายเป็นเทคนิคการทำเงินที่มีประสิทธิภาพไปในที่สุด ส่วนใครที่เปลี่ยนเทคนิคไปเรื่อยๆโอกาสที่จะได้เทคนิคทำกำไรทำเงินจริงๆจะมีโอกาสน้อย เนื่องจากขาดการพัฒนาต่อยอดของของเดิม

7. อย่าเข้าเทรดถี่เกินไป ข้อนี้ต่อเนื่องจากข้อที่ 6. เนื่องจากการเข้าเทรดแต่ละครั้งเราต้องเลือกเข้าเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน เทรดตามตลาดหลักเปิด หรือ Time session market เช่น เทรดคู่ที่มี GBP ,EUR เวลาลงที่เหมาะสมคือ 15:00 น. ถึง 23:00 น. เพราะตลาดลอนดอนเปิด และ เทรดทองคำเวลาที่เหมาะสมคือ 20:00 น. ถึง 23:00 น. เพราะตลาดนิวนอร์ก และ ลอนดอน เปิดคาบเกี่ยวกัน

8. อย่าใจร้อน ยิ่งเป็นงานเทรดยิ่งใจร้อนไม่ไดเลย เพราะจะแพ้อารมณ์ตนเอง จนกลายเป็นการสร้างความเสี่ยหายต่อพอร์ตการลงทุน เนื่องจากใช้อารมณ์ในการเทรด งานเทรดหากเราวางแผนไว้กำหนดความเสี่ยงไว้แล้วได้ก็คือได้ เสียก็คือเสีย ตามที่วางแผนไว้ มันก็อยู่ในระบบการเทรดของเราอยู่ และ อีกอย่างอย่ารีบร้อนอยากได้เทคนิคทำเงินแบบด่วนๆเร็วๆ เทคนิคเดียวกัน คนร้อยคนก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันได้ ไม่มีเทคนิคเทพใดๆที่ทำเงินได้ทันทีหรือทำเงินต่อเนื่องหลังจากที่นำมาใช้ ทุกๆเทคนิคต้องอาศัยทักษะ ประสบการณ์การใช้งานเทคนิคนั้นๆให้สุกงอมเสียก่อน เทคนิคที่นำมาตั้งแต่ต้นมันอาจเปลี่ยนวิธีการบางอย่างไปตามจริตของเรา และเราก็จะได้เทคนิคที่เข้ากับตัวตนของเราไปในที่สุด

9. อย่ามองกำไรต่อวัน มันจะกดดันหากเราพลาดติดๆ มืออาชีพจะมองกำไรระยะยาว สั้นที่สุดก็คือกำไรต่อเดือน การมองกำไรระยะยาวจะทำให้เราใจเย็น ทำงานมีแบบแผน และ เป็นการมองการเติบโตของธุรกิจแบบมีขั้นมีตอน หากเราเน้นกำไรต่อวันมันจะทำให้เรากดดันงานเทรดจะมีโอกาสกลายเป็นการพนันได้ง่ายๆ เพราะแพ้ใจตนเอง

10. ต้องตื่นตัว และ พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยการพยายามต่อยอดจากความรู้ปัจจุบันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าใช้วิธีกระโดดข้ามไปศึกษาเรื่องที่เกินพื้นฐานความรู้ปัจจุบันของเรา ต้องพยายามรักการเสาะแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ มันจะทำให้เราได้มีมุมมองและได้รับข้อมูลที่กว้าง ไม่ผูกติดกับความรู้จากแหล่งเล็กๆ และ ที่สำคัญที่สุดก็คือการนำความรู้นั้นมาฝึกฝน ปรับปรุง พัฒนาต่อยอดให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ

https://topindy.com/tornado/mindset